แฟชั่น บิ๊กอาย

บิ๊กอาย กับ แฟชั่นในปัจจุบัน

เลนส์ตาโต เป็นคอนแทคเลนส์ชนิดตาโต หรือที่วัยรุ่นเรียกกันว่า “บิ๊กอาย”จะเหมือนกับคอนแทคเลนส์แฟชั่นสมัยก่อนที่มีสีสันให้เลือกมากมาย แต่ที่แตกต่างคือ เลนส์สีบริเวณตรงกลางดวงตาจะเป็นเลนส์ใสปกติแต่บริเวณขอบเลนส์จะมีสีดำ ทำให้ขอบตาคุณดูชัดมากขึ้น มีราคาตั้งแต่ 450 – 2,000 บาท

ใส่บิ๊กอายตาติดเชื้อ

บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

แพทย์เตือนอันตรายจากคอนแทกท์เลนส์ "บิ๊กอาย" หลังมีผู้ป่วยติดเชื้อสูโดโมแนสที่ตา ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาตัวแล้ว 4 ราย จักษุแพทย์ ระบุ เป็นแบคทีเรียร้ายแรงลามกินตาดำได้ภายใน 2 วัน รักษาไม่ทันถึงขั้นตาบอด ผู้ป่วยรับหาซื้อง่ายแม้กระทั่งตามตลาดนัด จี้ภาครัฐออกมาเข้มงวด เพราะจัดอยู่ในกลุ่ม เครื่องมือแพทย์ ต้องได้รับอนุญาตจาก อย.

เลดี้ กาก้า Lady Gaga ใส่บิ๊กอาย

เลดี้กาก้า นำเทรนบิ๊กอาย อเมริกาเตือน Big Eye เป็นอันตราย ผิดกฏหมายในอเมริกา

นับตั้งแต่กระแสความโด่งดังของ Music Video "Bad Romance" ของนักร้องสาวชาวอังกฤษ Lady Gaga ทำให้วัยรุ่นอเมริกันเริ่มนิยมใส่ Contact Lenses ที่เรียกว่า "Big Eye" กันเป็นจำนวนมาก จนหลายฝ่ายต้องออกมาเตือนในการใช้และการเลือกซื้อ เพราะวัยรุ่นจำนวนมากนิยมสั่งซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต จากร้านค้าออนไลน์ในแถบเอเชีย...

บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์ปลอม

อันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์แฟชั่น "บิ๊กอาย"

กระแสคอนแทคเลนส์แฟชั่นได้แพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี 2549 ที่ผ่านมา โดยวัยรุ่นไทยนิยมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อให้ตา กลมโตเลียนแบบดาราเกาหลี และญี่ปุ่น คอนแทคเลนส์แฟชั่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีในนาม บิ๊กอายส์ หรือ คอนแทคเลนส์ตาโต ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตาติดเชื้อแบคทีเรีย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตาติดเชื้อแบคทีเรีย แสดงบทความทั้งหมด

13 ก.ค. 2555

[ข่าว] มหันตภัยบิ๊กอายส์ โจ๋สาว18 ใส่แค่วันเดียวตาดำติดเชื้อหวิดบอด


จักษุแพทย์เตือนสาวอยากตาโตด้วย "บิ๊กอายส์" ต้องระวัง หลังพบคนไข้สาววัย 18 ซื้อมาใส่เอง แค่วันเดียวได้เรื่อง ตาหวิดบอด เพราะเกิดอาการระคายเคืองแล้วเผลอขยี้ตาจนกระจกตาดำเป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียกัดกินกระจกตาดำเกือบทะลุ โชคดีมาพบแพทย์ทัน แต่ต้องตามัว มองไม่ชัดไปตลอดชีวิต เพราะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ได้แต่เตือนอยากสวยด้วยบิ๊กอายส์ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

ปัญหาของสาวอยากมีดวงตาโตกว่าเดิม แต่กลับส่งผลร้ายต่อสุขภาพในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ว่า ปัจจุบันยังพบว่า วัยรุ่นผู้หญิงยังนิยมใส่คอนแทคเลนส์ตาโต หรือบิ๊กอายส์ ซึ่งเป็นเลนส์ที่ไม่ใช่เลนส์สายตา แต่เป็นเลนส์เพื่อความสวยงาม เปลี่ยนสีตา ขยายขนาดของตาดำ เพราะต้องการเลียนแบบดารา นักร้อง นางแบบ อยากสวยอยากงาม ทั้งๆที่การใช้บิ๊กอายส์ หรือแม้กระทั่งคอนแทคเลนส์ที่เป็นเลนส์สายตา ล้วนเสี่ยงอันตรายทั้งสิ้น เพราะอย่าลืมว่าคอนแทคเลนส์เป็นสิ่งแปลกปลอม และเมื่อต้องสัมผัสกับกระจกตาโดยตรงและเป็นเวลานาน หากคอนแทคเลนส์สกปรกจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาและอาจลุกลามถึงขั้นตาบอดได้ภายใน 2 วัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยจากการใส่คอนแทคเลนส์ และบิ๊กอายส์มารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้าอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 พบ 2 ราย โดยรายล่าสุดเข้ามารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อประมาณวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา


นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวถึงผู้ป่วยรายล่าสุดว่า เป็นหญิงอายุ 18 ปี ไปซื้อบิ๊กอายส์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวบางลำภู นำมาใส่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่พอใส่แล้วที่ตาขวามีอาการแสบตา ระคายเคือง น้ำตาไหลต่อเนื่อง แล้วไปขยี้ตาและถอดบิ๊กอายส์ออก ต่อมาช่วงเย็นมีอาการบวม จึงเข้ามาพบแพทย์ที่ รพ.พระนั่งเกล้าเมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกระจกตาดำข้างขวา โดยเชื้อแบคทีเรียได้กัดกินบริเวณกระจกตาดำมีแนวยาว 5 มิลลิเมตร และลึกลงไปประมาณ 1 มิลลิเมตร จนเกือบทะลุกระจกตาดำ ซึ่งโชคดีมากที่มารักษาทัน เพราะหากมาช้า 1 วัน ตาบอดแน่นอน ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่พบนั้นชื่อว่า ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ตามสภาพแวดล้อมทั่วไป ซึ่งหากมีบาดแผลแล้วติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว จะมีอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายนี้โชคดีที่มาพบแพทย์ได้ทันทำให้ตาไม่บอด แต่เมื่อรักษาจนหายแล้วจะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ส่งผลให้เวลามองแล้วจะไม่ชัดเหมือนคนปกติ

จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าวต่อไปว่า คอนแทคเลนส์มาตรฐานจะมีขนาดมาตรฐานทางการแพทย์ คือ เส้นผ่าศูนย์กลาง 13.5 - 14.5 มิลลิเมตร ส่วนบิ๊กอายส์จะมีขนาดตั้งแต่ 15 - 19 มิลลิเมตร ซึ่งใส่แล้วจะทำให้ดวงตาคับแน่น และผู้ใส่จะเกิดอาการไม่สบายตาต้องขยี้ตาบ่อยๆ เป็นผลให้เกิดแผลถลอกที่กระจกตาดำ และเชื้อโรคอาจเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลที่กระจกตาดำทำให้ตาบอดได้ ขณะเดียวกันหากใส่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาขาวอักเสบ จากการแพ้เรื้อรัง ทำให้เยื่อบุตาขาวแห้งและอาจทำให้กระจกตาอักเสบ เกิดเป็นโรคตาแห้งคือเยื่อบุตาขาวแห้ง โดยถาวร เกิดอาการตาผ่าวร้อน แพ้งแสง ซึ่งจะเกิดความรำคาญแก่ดวงตาไปตลอดชีวิต ขอเตือนว่าการใช้คอนแทคเลนส์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรศึกษาและปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งต้องดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด ต้องเก็บรักษาในน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ โดยเฉพาะและปิดฝาให้สนิท เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกครั้งที่ใช้ ไม่ใช้น้ำยาแช่เลนส์ซ้ำๆ ห้ามล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำประปา เนื่องจากสารคลอรีนอาจทำให้เลนส์เสื่อมสภาพ และต้องล้างมือให้สะอาด ก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง

ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ได้รับแจ้งมาจาก นพ.ฐาปนวงศ์จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบจุดที่ผู้ป่วยระบุว่าไปซื้อบิ๊กอายส์ พบว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อสอบถามกลับไปยังผู้ป่วยพบว่า ไปซื้อบิ๊กอายส์มาเก็บไว้นานแล้วจึงนำมาใส่ การใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์ หากเกิดการระคายเคืองดวงตาให้รีบพบแพทย์ทันที และโดยปกติแล้วการใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อน โดยในปัจจุบันมีบิ๊กอายที่ได้รับอนุญาตจากทาง อย. เพียง 2 - 3 ยี่ห้อเท่านั้น ซึ่งประชาชนสามารถโทร.มาสอบถามได้ที่เบอร์สายด่วน อย. โทร 1556


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

10 ก.ค. 2555

[ข่าว] มหันตภัย 'บิ๊กอายส์' โจ๋สาว 18 ตาดำติดเชื้อหวิดบอด

จักษุแพทย์เตือนสาวอยากตาโตด้วย “บิ๊กอายส์” ต้องระวัง หลังพบคนไข้สาววัย 18 ซื้อมาใส่เอง แค่ วันเดียวได้เรื่อง ตาหวิดบอด เพราะเกิดอาการระคายเคืองแล้วเผลอขยี้ตาจนกระจกตาดำ เป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียกัดกินกระจกตาดำเกือบทะลุ โชคดีมาพบแพทย์ทัน แต่ต้องตามัว มองไม่ชัดไปตลอดชีวิต เพราะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ได้แต่เตือนอยากสวยด้วยบิ๊กอายส์ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

ปัญหาของสาวอยากมีดวงตาโตกว่าเดิม แต่กลับส่งผลร้ายต่อสุขภาพในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ว่า ปัจจุบันยังพบว่าวัยรุ่นผู้หญิงยังนิยมใส่คอนแทคเลนส์ตาโต หรือ บิ๊กอายส์ ซึ่งเป็นเลนส์ที่ไม่ใช่เลนส์สายตา แต่เป็นเลนส์เพื่อความสวยงาม เปลี่ยนสีตา ขยายขนาดของตาดำ เพราะต้องการเลียนแบบดารา นักร้อง นางแบบ อยากสวยอยากงาม ทั้งๆที่การใช้บิ๊กอายส์ หรือแม้กระทั่งคอนแทคเลนส์ที่เป็นเลนส์สายตา เสี่ยงอันตรายทั้งสิ้น เพราะอย่าลืมว่าคอนแทคเลนส์เป็นสิ่งแปลกปลอม และเมื่อต้องสัมผัสกับกระจกตาโดยตรงและเป็นเวลานาน หากคอนแทคเลนส์สกปรกจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาและอาจลุกลามถึงขั้นตาบอดได้ภายใน 2 วัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผู้ป่วยจากการใส่คอนแทคเลนส์ และบิ๊กอายส์มารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2554 มีประมาณ 20 รายส่วนในปี 2555 พบ 2 ราย โดยรายล่าสุดเข้ามารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อประมาณวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา

นพ.ฐาปนวงศ์กล่าวถึงผู้ป่วยรายล่าสุดว่าเป็นหญิงอายุ 18 ปี ไปซื้อบิ๊กอายส์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวบางลำภู นำมาใส่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่พอใส่แล้วที่ตาขวามีอาการแสบตา ระคายเคือง น้ำตาไหลต่อเนื่อง แล้วไปขยี้ตา และถอดบิ๊กอายส์ออก ต่อมาช่วงเย็นมีอาการตาบวม จึงเข้ามาพบแพทย์ที่ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกระจกตาดำข้างขวา โดยเชื้อแบคทีเรียได้กัดกินบริเวณกระจกตาดำมีแนวยาว 5 มิลลิเมตรและลึกลงไปประมาณ 1 มิลลิเมตร จนเกือบทะลุกระจกตาดำ ซึ่งโชคดีมากที่มารักษาทัน เพราะหากมาช้า 1 วัน ตาบอดแน่นอน ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่พบนั้น ชื่อว่า ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ตามสภาพแวดล้อมทั่วไป ซึ่งหากมีบาดแผลแล้วติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว จะมีอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายนี้โชคดีที่มาพบแพทย์ได้ทันทำให้ตาไม่บอด แต่เมื่อรักษาจนหายแล้วจะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ส่งผลให้เวลามองแล้วจะไม่ชัดเหมือนคนปกติ


จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าวต่อไปว่าคอนแทคเลนส์มาตรฐานจะมีขนาดมาตรฐานทางการแพทย์ คือเส้นผ่าศูนย์กลาง 13.5-14.5 มิลลิเมตร ส่วนบิ๊กอายส์จะมีขนาดตั้งแต่ 15-19 มิลลิเมตร ซึ่งใส่แล้วจะทำให้ดวงตาคับแน่น และผู้ใส่จะเกิดอาการไม่สบายตาต้องขยี้ตาบ่อยๆ เป็นผลให้เกิดแผลถลอกที่กระจกตาดำ และเชื้อโรคอาจเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลที่กระจกตาดำทำให้ตาบอดได้ ขณะเดียวกันหากใส่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาขาวอักเสบจากอาการแพ้เรื้อรัง ทำให้เยื่อบุตาขาวแห้งและอาจทำให้กระจกตาอักเสบ เกิดเป็นโรคตาแห้งคือเยื่อบุตาขาวแห้งโดยถาวร เกิดอาการตาผ่าวร้อน แพ้แสง ซึ่งจะเกิดความรำคาญแก่ดวงตาไปตลอดชีวิต ขอเตือนว่าการใช้คอนแทคเลนส์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งต้องดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด ต้องเก็บรักษาในน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะและปิดฝาให้สนิท เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกครั้งที่ใช้ ไม่ใช้น้ำยาแช่เลนส์ซ้ำๆห้ามล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำประปา เนื่องจากสารคลอรีนอาจทำให้เลนส์เสื่อมสภาพ และต้องล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง

ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ได้รับแจ้งมาจากนพ.ฐาปนวงศ์จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบจุดที่ผู้ป่วยระบุว่าไปซื้อบิ๊กอายส์ พบว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อสอบถามกลับไปยังผู้ป่วยพบว่าไปซื้อบิ๊กอายส์มาเก็บไว้นานแล้วจึงนำมาใส่ การใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์ หากเกิดการระคายเคืองดวงตาให้รีบพบแพทย์ทันที และโดยปกติแล้วการใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อน โดยในปัจจุบันมีบิ๊กอายส์ที่ได้รับอนุญาตจากทาง อย. เพียง 2-3 ยี่ห้อเท่านั้น ซึ่งประชาชนสามารถโทร.มาสอบถามได้ที่เบอร์สายด่วน อย. โทร.1556

17 เม.ย. 2555

สาระน่ารู้ : บิ๊กอาย

บิ๊กอาย เป็นคอนแทคเลนส์ชนิด bifocal เลนส์แบ่งออกเป็นสองครึ่งหนึ่ง ส่วนบนและส่วนอื่นๆ จะต่ำกว่า และบางครั้งก็สามารถอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลาง เลนส์หนึ่งในส่วนภายในและส่วนนอกที่ต้องการเลนส์ คอนแทคเลนส์บิ๊กอายจะอ่อน มีส่วนประกอบของวัสดุก๊าซ โดยตาของผู้สวมใส่จะเริ่มทยอยปรับตัวให้เข้าความแตกต่างของส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อตา ประสานงานกับการทำงานของเลนส์ แสงจะถูกหักเหในมุมของจอตา ความสามารถในการหักเหแสงที่แตกต่างอาจทำให้บางคนมีปัญหามากและปัญหาในการสวมใส่ ปัจจุบันบิ๊กอายจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข การผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย ต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบว่าได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบเข้าไปตรวจสอบ และจับกุมผู้ที่กระทำความผิด เพราะจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่มีลักษณะตาอักเสบจากการใส่บิ๊กอายเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการควรที่จะออกกฎระเบียบมาคุมเข้มในเรื่องของการใส่บิ๊กอาย หากเป็นบิ๊กอายที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผู้ที่จะนำมาสวมใส่ควรที่จะรักษาความสะอาดให้ดี จะช่วยป้องกันตาติดเชื้อแบคทีเรียได้


บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์
พิษบิ๊กอาย
1.พบว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวม เป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลา ทั้งเพศชายและหญิง ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยใน ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุ พบว่า ตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซา ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจส่งผลให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออก เพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซา ต้องใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งแบบยาฉีดและยาหยอดตา

2.สาเหตุที่ทำให้ตาติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ เกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์บิ๊กอาย ผู้ป่วยทุกรายมีประวัติใส่บิ๊กอายทั้งสิ้น โดยซื้อจากแผงลอยวางขายทั่วไปตามตลาดนัด สะพานพุทธ หรือย่านขายของวัยรุ่น สั่งซื้อจากอินเตอร์เน็ต หรือซื้อจากเพื่อนที่เป็นนายหน้าขายตรงด้วยการมีแคตตาล็อกแบบของบิ๊กอายให้ เลือกเป็นชนิดใส่รายปี ในราคาคู่ละ 300 บาท ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมใส่อย่างมากในกลุ่มพนักงานบริษัท หรือคนวัยทำงาน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาทั้งหญิงและชาย สวมใส่ตั้งแต่เรียนอยู่ในชั้นระดับมัธยมต้น

3.หนึ่งในผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ กล่าวว่า ใส่บิ๊กอายเนื่องจากเป็นคนสายตาสั้น เมื่อใส่แว่นจะรู้สึกเกะกะ และยอมรับว่าอยากสวย บวกกับเห็นเพื่อนใส่มานาน 2-3 ปี จึงตัดสินใจสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตแบบรายปี คู่ละ 300 บาท ซึ่งตนจะบอกระยะสายตาที่สั้น เลือกแบบแล้วเพื่อนจะเป็นคนสั่งซื้อให้พร้อมจัดส่งถึงบ้าน เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นคู่ที่ 2 ได้ราว 2-3 เดือน เริ่มมีอาการโดยเกิดการระคายเคืองตา จึงถอดบิ๊กอายออกและนอนหลับตามปกติ เมื่อตื่นขึ้นมา ตาแดง คิดว่าไม่เป็นไร เพราะเคยเป็นมาก่อน ทำให้ใส่บิ๊กอายกลับเข้าไปใหม่ แต่ทันทีที่เจอกับแสงแดด ปรากฏว่าตาสู้แสงไม่ได้ แสบตาและน้ำตาไหล ตาแดงก่ำมาก

4.ขณะที่ผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำอีกรายอายุ 14 ปี บอกว่า ซื้อบิ๊กอายจากร้านแผงลอยย่านสะพานพุทธ ใช้ได้ 3-4 เดือนเริ่มเกิดอาการแสบตา และตาแดงมาก รู้สึกเหมือนมีอะไรขาวๆ อยู่ในตาตลอดเวลา เจ็บมาก

บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์ แผลที่กระจกตา
แผลที่กระจกตาดำ
1.มักเกิดกับผู้ที่ละเลยกับการใส่ใจดูแลตัวเอง ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ พฤติกรรมการเปลี่ยนใส่คอนแทคเลนส์ เพียงแค่ลืมถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอน หรือเพียงแค่ลืมดูวันหมดอายุการใช้งานของคอนแทคเลนส์ การดูแลรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ ก็อาจมีผลถึงกับทำให้ตาบอดได้

2.อาการของโรค ได้แก่ ปวดในตา ตาแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ บีบตา ตามัว ตรวจพบกระจกตาขุ่น บวมและอักเสบ

3.การเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้กระจกตาเปลี่ยนสภาพ เกิดเป็นต้อหิน ต้อกระจก มักเป็นในรายที่ได้ยาขนาดเข้มข้นนานๆ บางรายกระจกตาบางลงและทะลุ อาจเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าลูกตา

4.ระดับของแผลที่กระจกตาชนิดเล็กน้อย แผลมีขนาดน้อยกว่า 2 มม. ความลึกของแผลน้อยกว่า 20% ของความหนาของกระจกตา

5.แผลระดับปานกลางขนาด 2-5 มม. ความลึกของแผล 20-50% ของความหนาของกระจกตา

6.แผลรุนแรงขนาดใหญ่กว่า 5 มม. ความลึกของแผลมากกว่า 50% ของความหนาของกระจกตา

บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์ ตาติดเชื้อแบคทีเรีย
ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรค
1.ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ผิดวิธี ใส่คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุ ใส่คอนแทคเลนส์ขณะนอนหลับ กระจกตาต้องการออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยง เมื่อมีคอนแทคเลนส์ขวางอยู่ ทำให้ออกซีเจนไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงกระจกตาได้ การไม่ล้างกล่องใส่คอนแทคเลนส์และคอนแทคเลนส์ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค เมื่อใส่คอนแทคเลนส์ที่มีเชื้อโรคสะสมอยู่ ทำให้เชื้อโรคที่สัมผัสกระจกตาปล่อยสารที่มีฤทธิ์ย่อยเยื่อกระจกตา เป็นสาเหตุของโรคกระจกตาเปือย

2.บางรายอาจเกิดจากอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดแผลที่ดวงตา แผลที่กระจกตาเป็นภาวะที่กระจกตาอักเสบเป็นแผล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาบอด พบเป็นอันดับสองรองจากต้อกระจก โดยการติดเชื้อที่กระจกตาทำให้มีแผลเป็นและมีฝ้าขาวที่กระจกตา การมองเห็นลดลงสายตาเลือนลาง และตาบอดได้ในบางราย ซึ่งสาเหตุเกิดได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส ปรสิต หรืออาจมีประวัติจากการเกิดอุบัติเหตุที่ตามาก่อนหรือไม่ก็ได้

3.การใส่คอนแทกเลนส์ติดต่อกันหลายวัน โดยไม่ได้ล้างทำความสะอาด ทำให้เชื้อโรคที่สัมผัสกระจกตาอยู่ ปล่อยสารออกฤทธิ์ย่อยเยื่อกระจกตาไปเรื่อยๆ ยิ่งเสี่ยงต่อโรคกระจกตาเปือย ซึ่งรุนแรงถึงขั้นตาบอดในชั่วข้ามคืนได้


การรักษา
  1. เริ่มให้ยาให้เร็วที่สุด หลังจากการวิเคราะห์การเพาะเชื้อของแผล และให้ยาที่ครอบคลุมเชื้อหลายชนิดก่อน และเมื่อทราบเชื้อ จึงเปลี่ยนหรือปรับยาที่เฉพาะต่อเชื้อที่สุดด
  2. การให้ยาจะประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ ให้ตามกลุ่มที่พบเชื้อจากการย้อมสี ถ้าไม่พบเชื้อ ควรให้ยาที่มีฤทธิ์กว้าง เช่น Cefazolin Ceftazidime ร่วมกับ Tobramycin หรือ Gentamicin หรือใช้ยาตัวเดียว เช่น Ciprofloxacin
  3. การหยอดตาควรหยอดบ่อยๆ ทุก 5-15 นาที ในชั่วโมงแรก โดยเว้น 5 นาที ถ้าใช้ยาตัวอื่นด้วยเพื่อเพิ่มปริมาณยาให้ถึงระดับเร็วๆ หรืออาจหยอดทุก 1 นาที เป็นวลา 5 นาที และซ้ำแบบนี้ทุก 30 นาที แล้วจึงห่างเป็นทุก 30-60 นาทีต่อไป


ข้อแนะนำการใส่คอนแทคเลนส์
  1. คอนแทคเลนส์ตาโตสีๆที่ขายทั่วไป อาจทำให้เราเห็นไม่ชัด เนื่องจากเส้นสีของเลนส์อาจขยับบังการมองเห็นของเรา ตัวเลนส์หนา ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ส่งผลให้ตาแห้ง
  2. ล้างและถูตัวเลนส์ก่อนเก็บและก่อนใส่ทุกครั้ง วิธีล้างคือเทน้ำยาลงที่ตัวเลนส์ ถูเลนส์ เทน้ำยาทิ้ง ทำแบบนี้สัก 2-3 ครั้ง เพื่อเอาคราบโปรตีนและสิ่งสกปรกออก
  3. หมั่นเปลี่ยนน้ำยาที่แช่เลนส์บ่อยๆ เพราะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
  4. คอนแทคเลนส์รายเดือนดีกว่ารายปี ยิ่งใส่นาน เชื้อโรคยิ่งสะสมมาก
  5. อย่าใส่ติดต่อกันนานจนเกินไปประมาณ 12 ชม. ก็ควรถอดและเปลี่ยนมาใส่แว่นแทนบ้าง เพื่อเป็นการให้ตาได้ถ่ายเทออกซิเจนได้สะดวก
  6. หากนั้งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ให้ละสายตามองออกไปข้างนอกบ้าง
  7. คอนแทคเลนส์ตาโตคุณภาพไม่ดีเท่าคอนเทคเลนส์ทั่วไป
  8. กระพริบตาหรือหลับตาบ่อบๆ ตาจะได้ไม่แห้ง

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
www.bangkokhealth.com/index.php/eyes/3685-Big-Eyes.html

8 เม.ย. 2555

'อะแคนทะมีบา' ภัย "คอนแทคเลนส์"

ปัจจุบันหลายๆคนหันมาให้ความสำคัญกับตัวตามากขึ้น เพราะดวงตาขึ้นชื่อว่า เป็น หน้าต่างที่ทำให้เราได้มองเห็นโลกกว้าง ฉะนั้นหากไม่ดูแลรักษาให้ดี ก็อาจทำให้เราก้าวเข้าสู่โลกมืดได้โดยไม่รู้ตัว หากแต่มีหลายคนกำลังเสี่ยงต่อการมีปัญหาความผิดปกติทางสายตารุนแรงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นก็คือกลุ่มผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ ที่ส่วนใหญ่มักละเลยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และข้อควรปฎิบัติโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั้นก็เหมือนเป็นการเปิดประตูต้อนรับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นอย่าง “อะแคนทะมีบา” เข้ามารุกรานและทำอันตรายต่อดวงตา

ศ.พญ.พนิดา โกสียรักษ์วงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า "อะแคนทะมีบา เป็นโปรตัวซัวแบบเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในน้ำและดิน มีช่วงชีวิต 2 แบบ คือ

  • แบบ “ซีสต์” มีขนาด 10-25 ไมครอน เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่จะฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ
  • แบบ “โทรโฟซอยต์” ที่เคลื่อนไหว มีขนาด 15-45 ไมครอน จะเปลี่ยนรูปร่างจาก “ซีสต์” มีฤทธิ์ทำลายดวงตา

อย่างไรก็ตาม เชื้ออะแคนทะมีบา ทั้ง 2 แบบ สามารถทนทานอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ เช่น หนาวจัด ร้อนจัด แห้งแล้ง ขาดอาหาร สระว่ายน้ำที่ใส่คลอรีน หรือแม้แต่บ่อน้ำร้อน

เกี่ยวข้องอย่างไรกับคนใส่คอนแทคเลนส์?
ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ สามารถพบกระจกตาอักเสบเนื่องจากติดเชื้ออะแคนทะมีบาได้ โดยส่งผลทำให้เกิดอาการ ดังนี้ ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เป็นแผลอักเสบที่กระจกตา ในบางรายดูคล้ายอักเสบเนื่องจากติดเชื้อไวรัสเริม

เมื่อเป็นแล้วจะรักษาได้อย่างไร ?
ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ในส่วนของการรักษา โดยทั่วไปจะต้องหยอดตาด้วยยาฆ่าเชื้อนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผสมจากน้ำยาบางชนิดที่ไม่มีขายในท้องตลาด โดยจะต้องหยอดตาบ่อย ๆ เป็นเวลานานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี และเฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ ๆ นานหลายปี เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบาสามารถมีชีวิตอยู่ในรูปแบบของซีสต์ได้นานหลายสิบปี ดังนั้นเมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีเชื้อโรคที่ไปเป็นอาหารชั้นดีของเชื้ออะแคนทะมีบา ซีสต์ดังกล่าวก็จะแปลงร่างเป็นโทรโฟซอยต์ทำให้ดวงตาอักเสบทันที


จะป้องกันอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ?
  1. ล้างมือทำความสะอาดโดยการฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง ก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์
  2. น้ำยาทำความสะอาดล้างเลนส์ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน ไม่เก่าเก็บเกิน 2 เดือนหลังจากเปิดใช้แล้ว
  3. ขัดถูล้างเลนส์ทั้ง 2 ด้านเป็นเวลาพอสมควร ตลอดจนล้างขัดถูตลับแช่เลนส์ให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่น้ำยาแช่เลนส์ที่เปลี่ยนใหม่ทุกวัน เพราะโรคนี้มักพบในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มบ่อยกว่าชนิดแข็ง โดยเฉพาะไม่ล้างทำความสะอาดเลนส์ทุกวันหรือใส่นอน
  4. ควรนำตลับแช่เลนส์อบไมโครเวฟทุก 2-3 สัปดาห์ และเปลี่ยนตลับใหม่ทุก 2-3 เดือน เนื่องจากเชื้อโรคนี้อยู่ทนทาน

หากคุณมีอาการหรือพฤติกรรมต่อไปนี้ อย่าใส่คอนแทคเลนส์เด็ดขาด
  1. เปลือกตาอักเสบ
  2. ตาแห้ง
  3. เป็นโรคภูมิแพ้
  4. ไม่มีเวลาดูแลล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์
เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบา เป็นสาเหตุสำคัญของอาการกระจกตาอักเสบ และยังส่งผลให้เกิดแผลที่ดวงดา ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มีความอดทนต่อยาที่ใช้รักษาทุกชนิด ทำให้ต้องหยอดยาเป็นเวลานาน และในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา เป็นผลให้เชื้ออาจมีการลุกลามไปทั่วทั้งกระจกตา จนเกิดอาการอักเสบทั้งลูกตาได้

การรักษาต้องหยอดยาเป็นเวลานาน ถ้ามีอาการอักเสบมาก จักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ แต่ก็สามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก จึงต้องเฝ้าติดตามดูอาการเป็นเวลานาน และในบางรายอาจมีอาการหนักถึงขั้นที่ต้องได้รับการผ่าตัดเอาลูกตาออกในที่สุดแม้ว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาแล้วก็ตาม เนื่องจากสามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก ดังนั้น การใส่คอนแทคเลนส์แล้วปฏิบัติตัวไม่ถูกวิธี มีสิทธิติดเชื้อจนตาบอดได้ ยิ่งเห่อใส่ตามแฟชั่น ยิ่งต้องควรระวังมากกว่าปกติ เพราะหากดูแลดวงตาและรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี อาจมีเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย หรือแค่ฝุ่นละอองปลิวเข้าตา ก็อาจพาเชื้อ “อะแคนทะมีบา” เข้าไปได้ด้วยเหมือนกัน ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาทำความสะอาดล้างเลนส์ แนะนำให้ใส่ชนิดรายวันแล้วทิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นใส่แว่นตาจะปลอดภัยกว่า เพื่อให้ดวงตาคู่สวยของคุณมองเห็นโลกสดใสและจะอยู่คู่ชีวิตคุณได้ตลอดไป

6 เม.ย. 2555

อันตรายจากบิ๊กอาย โรคกระจกตาเสื่อม

ดวงตาปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอวัยวะอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญ ในชีวิตของคนมีตาปกติต้องใช้งานดวงตาทุกวี่วันไม่มีหยุด นอกเสียจากตอนนอนหลับ หรือหลับตาเพื่อพักสายตาเพียงชั่วครู่ เมื่อดวงตาเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญถึงเพียงนี้ หากใช้แล้วไม่รู้จักพัก ดูแลไม่ดี ‘มุมสุขภาพ’ ต้องขอเตือนให้ระวัง ‘โรคกระจกตาเสื่อม’ ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี เป็นโรคตาแห้ง และมีโรคประจำตัวที่ทำให้ต่อมน้ำตาแห้ง

อาการเตือนก็จะมีตั้งแต่แสบตา คันตา รู้สึกเจ็บตา เป็นตาแดงบ่อยๆ เห็นรอยเส้นเลือดฝอยสีแดงขึ้นในตาขาว ตาพร่ามัว เหล่านี้เป็นอาการของปัญหาตาแห้ง ส่วนผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์อย่างไม่ถูกต้อง เช่น ใช้งานเกินอายุคอนแทคเลนส์ ใส่ค้างไว้นานเกิน 8-10 ชั่วโมง หรือใส่นอน ไม่ค่อยล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์และกล่องเก็บ พฤติกรรมดังกล่าวมักจะนำอาการเจ็บตา มีเยื่อเมือกสีขาวปกคลุมทั้งตาขาวและตาดำ

สาเหตุที่การใช้คอนแทคเลนส์อย่างผิดๆ ทำให้กระจกตาเปื่อยได้ก็เพราะ การใส่คอนแทคเลนส์ที่สกปรกอาจนำฝุ่นผงเข้าไปทำลายกระจกตาให้เป็นแผลถลอก และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อบักเตรี ชื่อ สูโดโมแนส แอโรจิโนซา เป็นแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในที่เปียกชื้น ดังนั้นการนำคอนแทคเลนส์ที่มีเชื้อดังกล่าวมาใส่ จึงเป็นโอกาสให้เพาะพันธุ์เต็มดวงตาและทำลายกระจกเมื่อมีแผลเปิด ส่วนสาเหตุอาการตาแห้งแล้วกระจกตาเปื่อยได้ เนื่องจากดวงตาที่มีสภาพแห้งจะทำให้กระจกตาไม่แข็งแรง เกิดการแยก หรือการถลอก จนทำให้เกิดแผล และเป็นทางเข้าของเชื้อโรค ในที่สุดกระตกก็จะเปื่อย

โรคกระจกตาเปื่อย หากเป็นในระดับรุนแรงจะมีหนองที่ดวงตา ยิ่งถ้าหนองขึ้นเต็มดวงตา จักษุแพทย์อาจต้องผ่าตัดควักดวงตาออกเพื่อป้องกันมิให้เชื้อแบคทีเรียชนิด ดังกล่าวลุกลามไปยังสมองหรืออวัยวะอื่นๆ ทว่าอาการที่ไม่รุนแรงก็ยังพอรักษาด้วยยาได้ ไม่อยากเป็นโรคกระจกตาเปื่อย ต้องไม่ขาดวิตามินเอ ที่มีสรรพคุณบำรุงสายตา มีมากในผักและผลไม้สีเขียว ผู้ที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือทำงานในที่มีแสงสว่างน้อย ต้องหมั่นพักสายตาทุกๆ 1 ชั่วโมง กรณีที่สงสัยว่า ตนเองมีอาการตาแห้งเกิดขึ้นบ่อยๆ ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อวัดปริมาณน้ำตา ถือเป็นการป้องกันโรคกระจกตาเสื่อมได้

ที่มา : ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=457&contentID=148914

30 มี.ค. 2555

[บทความ] บิ๊กอาย อันตรายถึงตาบอด

คงปฏิเสธไม่ได้ถึงแฟชั่นยอดฮิต....บิ๊กอายที่แพร่หลายอยู่ในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงาน ด้วยความที่หาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นทางร้านค้าออนไลน์หรือแม้แต่ตามตลาดนัดทั่วไป อันที่จริงแล้วบิ๊กอายเป็นคอนแทกเลนส์แฟชั่น ใส่แล้วทำให้ตาดำดูใหญ่ขึ้น แถมยังมีลูกเล่นสีและลวดลายต่างๆ ตามเทรนด์เกาหลี และที่สำคัญราคายังไม่แพงอีกด้วย ซึ่งจริงๆแล้วผลิตภัณฑ์นี้จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น การผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย จึงจำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนเท่านั้น


ในระยะที่ผ่านมามีข่าวผู้ป่วยติดเชื้อที่ตาเนื่องจากการใช้บิ๊กอายหลายราย เชื้อที่เป็นสาเหตุ คือ ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไป เชื้อนี้เป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกของการติดเชื้อที่กระจกตาในผู้ใช้คอนแทกเลนส์ นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่คนที่ใช้บิ๊กอายเท่านั้นแต่หมายรวมถึงคนใช้คอนแทกเลนส์ทั่วไปด้วย หากยังจำกันได้ เชื้อชนิดเดียวกันนี้เคยเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนางงามชาวบราซิลวัย 20 ปี ที่ติดเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกันนี้ที่กระเพาะปัสสาวะในขณะอยู่โรงพยาบาล ภายหลังเข้ารับการรักษาผ่าตัดนิ่วที่ไต ซึ่งในที่สุดคณะแพทย์ต้องตัดมือและเท้าทั้ง 2 ข้างออกเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวเข้าสู่กระแสเลือด และได้เสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษเท่านั้น หรือในประเทศไทยเองก็เกิดเป็นข่าวดังจากการติดเชื้อดังกล่าวที่กระจกตาเมื่อมารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยบางรายถึงขั้นตาบอด

ทำไมเชื้อชนิดเดียวกันนี้จึงก่อให้เกิดโรคในลักษณะที่แตกต่างกันได้หลายโรค ?????????คำตอบนั้นอยู่ที่ตัวเชื้อนี้เป็นแบคทีเรียแกรมลบที่จัดเป็นเชื้อประเภทฉวยโอกาส นั่นหมายความว่า เชื้อนี้มักไม่ก่อโรคในคนที่มีสุขภาพดี แต่มักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งรวมไปถึงผู้ป่วยที่อยู่ในอาการโคม่าหรือผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล แบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายและก่อโรคได้หลายระบบ อาทิเช่น การติดเชื้อที่กระจกตา ระบบประสาทส่วนกลาง เยื้อหุ้มหัวใจ ปอด ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ทางเดินปัสสาวะ ปัญหาสำคัญของเชื้อนี้ คือ มักก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เชื้อตัวยังมีความสามารถในการดื้อยาสูงและเชื้อบางสายพันธุ์ของกลุ่มนี้สามารถดื้อยาหลายขนาน หรือที่รู้จักกันว่า Multi-Drug Resistance (MDR)

สำหรับการติดเชื้อที่กระจกตาจากการใช้คอนแทคเลนส์นั้น ดังที่กล่าวแล้วไม่ใช่แต่เพียงผู้ใช้บิ๊กอายเท่านั้น แต่หมายรวมถึงคอนแทกเลนส์ทั่วไปด้วย สิ่งที่ต้องระวังก็คือ บิ๊กอายที่นำเข้ามาโดยไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ยิ่งตัวเลนส์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าตาดำของชาวเอเชียแล้ว ยิ่งอาจก่อความระคายเคืองเกิดรอยถลอก ทำให้โอกาสที่เชื้อผ่านชั้น เยื่อบุผิวตาดำ ไปสู่กระจกตามีมากยิ่งขึ้น เชื้อนี้ยังสามารถสร้างเอนไซม์หลายชนิด เช่น เอ็นไซม์ที่ใช้ย่อยโปรตีนซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุผิวตาดำได้ นอกจากนี้ยังมีอาวุธประจำกายอื่นๆ ที่หลากหลายในการทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจจัดแบ่งออกได้เป็นดังนี้
  1. การเข้าเกาะติดเนื้อเยื่อและทวีจำนวนเชื้อ
  2. การเข้าบุกรุกทำลายเซลล์
  3. สร้างเอนไซม์และท็อกซินที่เป็นพิษต่อเนื้อเยื่อ

เชื้อนี้ยังมีความสามารถในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ผลิตสารที่ทำลายกระจกตาได้ นอกจากนี้ยังกระตุ้นตัวรับ (receptor) เยื่อบุผิวตาดำให้จับตัวเชื้อแล้วกระตุ้นให้เซลล์สร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ที่จะดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวเข้ามาที่กระจกตา เกิดการทำลาย เยื่อบุผิวตาดำ ก่อให้เกิดอันตรายจนอาจทำให้ตาบอดถาวรได้ ดังนั้น ก่อนเลือกใช้คอนแทกเลนส์ จึงควรตรวจสอบว่าผ่านการรับรองจากอย. หรือไม่ และควรดูแลทำความสะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจุลินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ

ที่มา : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=36
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มัลลิกา ชมนาวัง

ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

29 มี.ค. 2555

3 ข้อ เตือนใจก่อนใส่บิ๊กอาย

อย.เตือน!! ก่อนใช้คอนแทคเลนส์ ควรปรึกษาจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อการใช้งานอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงศึกษา วิธีการใช้ คำเตือน วิธีการเก็บรักษา ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวัง ที่สำคัญเลือกซื้อคอนแทคเลนส์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. แล้ว โดยสังเกตได้จากเครื่องหมาย อย. บนฉลากกล่อง และควรสังเกตเดือน ปี ที่หมดอายุ ไม่ควรซื้อจากร้านค้า แผงลอยตามตลาด หรือศูนย์การค้า เพราะอาจเสี่ยงกับคอนแทคเลนส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงหากใช้ไม่ถูกวิธี อาจถึงขั้นตาบอดได้ จึงขอมอบ คาถา 3 ข้อ คือ

1. ใช้คอนแทคเลนส์ ที่ได้รับอนุญาตจาก อย.
2. ใช้อย่างถูกวิธี
3. รักษาความสะอาดอยู่เสมอ


นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า คอนแทคเลนส์ หรือเลนส์สัมผัสที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เพื่อแก้ไขความผิดปกติของสายตาหรือเพื่อความสวยงาม จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องได้รับอนุญาตตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เลนส์สัมผัส ดังนั้น คอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส บนฉลากหรือเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์นั้นจะต้องระบุ ชื่อสินค้า วัสดุที่ใช้ทำ ค่าพารามิเตอร์ (กำลังหักเห ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง รัศมีความโค้ง) เลขที่ใบอนุญาต ระยะเวลาการใช้งาน วิธีการใช้ วิธีการเก็บรักษา

สาววัยรุ่น ใส่บิ๊กอาย ตาโต แอ๊บแบ๊ว เกาหลี


คำเตือนโดยแสดงข้อความว่า..
'การใช้เลนส์สัมผัสควรได้รับ การสั่งใช้ และตรวจติดตามทุกปี โดยจักษุแพทย์หรือผู้ประกอบโรคศิลปโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์เท่านั้น' 'การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธีมีความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นเสียสายตาอย่างถาวรได้'

ข้อห้ามใช้โดยแสดงข้อความว่า..
'ห้ามใส่คอนแทคเลนส์สัมผัสนานเกินระยะเวลาใช้งานที่กำหนด' 'ห้ามใช้เลนส์สัมผัสร่วมกับบุคคลอื่น'
'ห้ามใส่เลนส์สัมผัสทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้จะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน'

รวมทั้งข้อควรระวังในการใช้ ทั้งนี้ ผู้ขายต้องขายเฉพาะคอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัสที่ได้รับอนุญาตจาก อย. และต้องดูแลให้มีฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ตามที่ได้รับอนุญาตไว้ รวมถึงการโฆษณาคอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัสใดๆ ต้องได้รับอนุญาตจาก อย. ก่อน

รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า ก่อนตัดสินใจใช้คอนแทคเลนส์ควรปรึกษาจักษุแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อการใช้งานอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงศึกษาวิธีการใช้ วิธีการเก็บรักษา ระยะเวลาการใช้งาน คำเตือน ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวัง ที่สำคัญ เลือกซื้อคอนแทคเลนส์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. แล้ว โดยสังเกตได้จากเครื่องหมาย อย. บนฉลากกล่อง และควรสังเกตเดือน ปี ที่หมดอายุ ไม่ควรซื้อคอนแทคเลนส์จากร้านค้า แผงลอยตามตลาด หรือศูนย์การค้า เพราะอาจได้รับอันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน และก่อนการใช้ควรอ่านฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ให้เข้าใจเสียก่อน เพราะหากใช้ไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ กระจกตาเป็นแผล จนถึงขั้นตาบอดได้ ปัญหาที่พบบ่อยสำหรับผู้ใช้คอนแทคเลนส์ คือ การรักษาความสะอาดอย่างไม่ถูกต้อง ทั้งการล้าง แช่ และเก็บรักษา ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียอันตรายถึงขั้นทำให้ตาบอดได้เช่นกัน


อันตรายจากการใส่ บิ๊กอาย

ดังนั้น เพื่อการใช้คอนแทคเลนส์อย่างปลอดภัย อย.จึงขอมอบคาถา 3 ข้อ คือ
1. ใช้คอนแทคเลนส์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย.
2. ใช้อย่างถูกวิธี
3. รักษาความสะอาดอยู่เสมอ

ที่มาจาก : กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค อย.

19 ก.พ. 2554

รายการเจาะข่าวเด่น : บิ๊กอาย ทำตาบอด

ภัยคอนแทกท์เลนส์ยอดฮิต "บิ๊กอาย" เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.พ. นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และจักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวมเป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลาถึง 4 ราย ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี และอายุน้อยสุด 14 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุการเกิดอาการ ทำให้ทราบว่า เกิดจากตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจทำให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออกเพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อสูโดโมแนสฯใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งชนิดฉีดและหยอดตา

ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง3 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554



ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
หามส่ง รพ. 4โจ๋เหยื่อ บิ๊กอาย เสี่ยงบอด - ควักตา
บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

18 ก.พ. 2554

[ข่าว] บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

แพทย์เตือนอันตรายจากคอนแทกท์เลนส์ "บิ๊กอาย" หลังมีผู้ป่วยติดเชื้อสูโดโมแนสที่ตา ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาตัวแล้ว 4 ราย จักษุแพทย์ ระบุ เป็นแบคทีเรียร้ายแรงลามกินตาดำได้ภายใน 2 วัน รักษาไม่ทันถึงขั้นตาบอด ผู้ป่วยรับหาซื้อง่ายแม้กระทั่งตามตลาดนัด จี้ภาครัฐออกมาเข้มงวด เพราะจัดอยู่ในกลุ่ม เครื่องมือแพทย์ ต้องได้รับอนุญาตจาก อย.


บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

ภัยคอนแทกท์เลนส์ยอดฮิต "บิ๊กอาย" เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.พ. นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และจักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวมเป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลาถึง 4 ราย ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี และอายุน้อยสุด 14 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุการเกิดอาการ ทำให้ทราบว่า เกิดจากตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจทำให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออกเพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อสูโดโมแนสฯใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งชนิดฉีดและหยอดตา


"จากการสอบถามผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ทราบว่า สาเหตุที่ทำให้ตาติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้น่าจะเกิดจากการใส่ คอนแทกท์เลนส์บิ๊กอาย เนื่องจากผู้ป่วยทุกรายมีประวัติใส่บิ๊กอาย โดยซื้อจากแผงลอยวางขายทั่วไปตามตลาดนัดสะพานพุทธ หรือย่านขายของวัยรุ่น สั่งซื้อจากอินเตอร์เน็ต หรือซื้อจากเพื่อนที่เป็นนายหน้าขายตรง ที่มีแค็ตตาล็อกแบบของบิ๊กอายให้เลือก เป็นชนิดใส่รายปี ราคาคู่ละ 300 บาท ขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมใส่อย่างมากในกลุ่มพนักงานบริษัทหรือคนวัยทำงาน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาทั้งหญิงและชายสวมใส่ตั้งแต่เรียนอยู่ในชั้นระดับ ม.ต้น" นพ.ฐาปนวงศ์กล่าว

รองผู้อำนวยการ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบิ๊กอายจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข การผลิตนำเข้าหรือจำหน่ายต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงไม่แน่ใจว่าผู้ขายที่จำหน่ายตามตลาด แผงลอย หรืออินเตอร์เน็ตได้รับการอนุญาตจาก อย.หรือไม่ หรือเป็นการลักลอบ

จำหน่ายแบบผิดกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบเข้าไปตรวจสอบและจับกุมผู้ที่กระทำความผิด เพราะจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่มีลักษณะตาอักเสบจากการใส่บิ๊กอายเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล ในส่วนของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการควรออกกฎระเบียบมาคุมเข้มในเรื่องการใส่บิ๊กอายในกลุ่มเด็กด้วย อย่างไรก็ตาม หากเป็นบิ๊กอายที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ผู้ที่จะนำมาสวมใส่ควรที่จะรักษาความสะอาดให้ดี จะช่วยป้องกันตาติดเชื้อ

ด้าน น.ส.พร (นามสมมติ) อายุ 20 ปี หนึ่งในผู้ป่วยกล่าวว่า ใส่บิ๊กอายเนื่องจากเป็นคนสายตาสั้น เมื่อใส่แว่นจะรู้สึกเกะกะ ยอมรับว่าอยากสวยและเห็นเพื่อนใส่มานาน 2-3 ปี จึงตัดสินใจสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตแบบรายปีคู่ละ 300 บาท ซึ่งตนจะบอกระยะสายตาที่สั้น เลือกแบบ

แล้วเพื่อนจะเป็นคนสั่งซื้อให้พร้อมจัดส่งถึงบ้าน เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นคู่ที่ 2 ได้ราว 2-3 เดือน เริ่มมีอาการ โดยเกิดการระคายเคืองตา จึงถอดบิ๊กอายออกและนอนหลับตามปกติ เมื่อตื่นขึ้นมาตาแดงคิดว่าไม่เป็นไรเพราะเคยเป็นมาก่อน ทำให้ใส่บิ๊กอายกลับเข้าไปใหม่ แต่ทันทีที่เจอกับแสงแดดปรากฏว่าตาสู้แสงไม่ได้ แสบตาและน้ำตาไหล ตาแดงก่ำมาก เดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์ให้ยาฆ่าเชื้อแต่ไม่หาย ทำให้ต้องตัดสินใจมาพบแพทย์อีกครั้งที่ รพ.พระนั่งเกล้า อยากฝากถึงวัยรุ่นที่จะใส่บิ๊กอายควรที่จะเลือกซื้อจากร้านที่ผ่านการอนุญาตจาก อย.อย่าซื้อตามตลาดนัด หรือเว็บไซต์

ขณะที่ ด.ญ.รัก (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ เผยว่า ซื้อบิ๊กอายจากร้านแผงลอยย่านสะพานพุทธ ใช้ได้ 3-4 เดือน เริ่มเกิดอาการแสบตาและตาแดงมาก รู้สึกเหมือนมีอะไรขาวๆอยู่ในตาตลอดเวลา เจ็บมาก เพื่อนๆที่คิดจะซื้อบิ๊กอายมาใส่หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรใส่ หากจะต้องใส่ควรปรึกษาแพทย์หรือซื้อจากร้านที่ถูกกฎหมาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
รายการเจาะข่าวเด่น  บิ๊กอาย ทำตาบอด
[ข่าว] หามส่ง รพ. 4โจ๋เหยื่อ บิ๊กอาย เสี่ยงบอด - ควักตา

[ข่าว] หามส่ง รพ. 4โจ๋เหยื่อ บิ๊กอาย เสี่ยงบอด - ควักตา

พิษ "บิ๊กอาย" อันตราย พบแผลที่กระจกตาดำ เผยแบคทีเรียร้ายกินทะลุได้ภายใน 2 วัน แถมเข้าสู่กระแสเลือดได้ หมอชี้รักษาไม่ทันอาจทำให้ตาบอดหรือควักลูกตาทิ้งได้ พบเหยื่อโจ๋หญิง-ชาย 4 รายเข้ารักษาที่ร.พ.พระนั่งเกล้าหลังตาบวมฉึ่ง สอบถามพบอยากสวยเลยซื้อคอนแท็กต์เลนส์แบบบิ๊กอายมาใส ่ ทั้งสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตและตลาดนัดสะพานพุทธ

วันที่ 15 ก.พ. น.พ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการตรวจ ผู้ป่วยด้านตาพบว่าในรอบ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวม เป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลา ถึง 4 ราย เป็นเพศชายและหญิง ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี และอายุน้อยสุด 14 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยทั้ง 4 รายต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยใน ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุ พบว่า ตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจส่งผลให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออก เพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อสูโดโมแนสฯ ต้องใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งแบบยา ฉีดและยาหยอดตา

ตาติดเชื้อ ใส่บิ๊กอาย

"จาก การสอบถามผู้ป่วยทั้ง 4 ราย สาเหตุ ที่ทำให้ตาติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ น่าจะเกิด จากการใส่คอนเท็กต์เลนส์บิ๊กอาย เนื่องจากผู้ป่วยทุกรายมีประวัติใส่บิ๊กอายทั้งสิ้น โดยซื้อจากแผง ลอยวางขายทั่วไปตามตลาดนัด สะพานพุทธ หรือย่านขายของวัยุร่น สั่งซื้อจากอินเตอร์เน็ต หรือซื้อจากเพื่อนที่เป็นนายหน้าขายตรงด้วยการมีแค็ต ตาล็อกแบบของบิ๊กอายให้ เลือกเป็นชนิดใส่รายปี ในราคาคู่ละ 300 บาท ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมใส่อย่าง มากในกลุ่มพนักงานบริษัทหรือคนวัยทำงาน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาทั้งหญิงและชายสวมใส่ตั้งแต่เรียนอยู่ในชั้น ระดับมัธยมต้น" น.พ. ฐาปนวงศ์ กล่าว

น.พ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบิ๊กอาย จัด เป็นเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข การผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย ต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คงต้องตรวจสอบกันต่อไปว่าได้รับการอนุญาตจากอย.หรือไ ม่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบเข้าไปตรวจสอบ และจับกุมผู้ที่กระทำความผิด เพราะจำนวนผู้เข้า รับการรักษาที่มีลักษณะตาอักเสบจากการ ใส่บิ๊กอายเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรที่จะออกกฎระเบียบมาคุมเข้มในเรื่องของการใส่บิ๊ก อาย ทั้งนี้ หากเป็นบิ๊กอายที่ได้รับอนุญาตจากอย. ผู้ที่จะนำมาสวมใส่ควรที่จะรักษาความสะอาดให้ดี จะช่วยป้องกันตาติดเชื้อได้

น.ส.ณัฐ พร อุ่นธรรม อายุ 20 ปี หนึ่งในผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ กล่าวว่า ใส่บิ๊กอายเนื่องจากเป็นคนสายตาสั้น เมื่อใส่แว่นจะรู้สึกเกะกะ และยอมรับว่าอยากสวย บวกกับเห็นเพื่อนใส่มานาน 2-3 ปี จึงตัดสินใจสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตแบบรายปี คู่ละ 300 บาท ซึ่งตนจะบอกระยะสายตาที่สั้น เลือกแบบแล้วเพื่อนจะเป็นคนสั่งซื้อให้พร้อมจัดส่งถึ งบ้าน เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นคู่ที่ 2 ได้ราว 2-3 เดือน เริ่มมีอาการโดยเกิดการระคายเคืองตา จึงถอดบิ๊กอายออกและนอนหลับตามปกติ เมื่อตื่นขึ้นมาตาแดงคิดว่าไม่เป็นไร เพราะเคยเป็นมาก่อน ทำให้ใส่บิ๊กอายกลับเข้าไปใหม่ แต่ทันทีที่เจอกับแสงแดดปรากฏว่าตาสู้แสงไม่ได้ แสบตาและน้ำตาไหล ตาแดงก่ำมาก พบแพทย์เพื่อให้ยาฆ่าเชื้อก็ไม่หาย

ขณะที่ ด.ญ.รัก (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ บอกว่า ซื้อบิ๊กอายจากร้านแผงลอยย่านสะพานพุทธ ใช้ได้ 3-4 เดือนเริ่มเกิดอาการแสบตา และตาแดงมาก รู้สึกเหมือนมีอะไรขาวๆ อยู่ในตาตลอดเวลา เจ็บมาก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
รายการเจาะข่าวเด่น  บิ๊กอาย ทำตาบอด
บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

Loading

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More