แฟชั่น บิ๊กอาย

บิ๊กอาย กับ แฟชั่นในปัจจุบัน

เลนส์ตาโต เป็นคอนแทคเลนส์ชนิดตาโต หรือที่วัยรุ่นเรียกกันว่า “บิ๊กอาย”จะเหมือนกับคอนแทคเลนส์แฟชั่นสมัยก่อนที่มีสีสันให้เลือกมากมาย แต่ที่แตกต่างคือ เลนส์สีบริเวณตรงกลางดวงตาจะเป็นเลนส์ใสปกติแต่บริเวณขอบเลนส์จะมีสีดำ ทำให้ขอบตาคุณดูชัดมากขึ้น มีราคาตั้งแต่ 450 – 2,000 บาท

ใส่บิ๊กอายตาติดเชื้อ

บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

แพทย์เตือนอันตรายจากคอนแทกท์เลนส์ "บิ๊กอาย" หลังมีผู้ป่วยติดเชื้อสูโดโมแนสที่ตา ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาตัวแล้ว 4 ราย จักษุแพทย์ ระบุ เป็นแบคทีเรียร้ายแรงลามกินตาดำได้ภายใน 2 วัน รักษาไม่ทันถึงขั้นตาบอด ผู้ป่วยรับหาซื้อง่ายแม้กระทั่งตามตลาดนัด จี้ภาครัฐออกมาเข้มงวด เพราะจัดอยู่ในกลุ่ม เครื่องมือแพทย์ ต้องได้รับอนุญาตจาก อย.

เลดี้ กาก้า Lady Gaga ใส่บิ๊กอาย

เลดี้กาก้า นำเทรนบิ๊กอาย อเมริกาเตือน Big Eye เป็นอันตราย ผิดกฏหมายในอเมริกา

นับตั้งแต่กระแสความโด่งดังของ Music Video "Bad Romance" ของนักร้องสาวชาวอังกฤษ Lady Gaga ทำให้วัยรุ่นอเมริกันเริ่มนิยมใส่ Contact Lenses ที่เรียกว่า "Big Eye" กันเป็นจำนวนมาก จนหลายฝ่ายต้องออกมาเตือนในการใช้และการเลือกซื้อ เพราะวัยรุ่นจำนวนมากนิยมสั่งซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต จากร้านค้าออนไลน์ในแถบเอเชีย...

บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์ปลอม

อันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์แฟชั่น "บิ๊กอาย"

กระแสคอนแทคเลนส์แฟชั่นได้แพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี 2549 ที่ผ่านมา โดยวัยรุ่นไทยนิยมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อให้ตา กลมโตเลียนแบบดาราเกาหลี และญี่ปุ่น คอนแทคเลนส์แฟชั่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีในนาม บิ๊กอายส์ หรือ คอนแทคเลนส์ตาโต ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อันตรายจากบิ๊กอาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อันตรายจากบิ๊กอาย แสดงบทความทั้งหมด

20 ก.ค. 2555

[Youtube] ข่าวเช้าวันใหม่ 9 กรกฎาคม 2555 : มหันตภัยบิ๊กอายส์

สาวอายุ แค่ 18 ไปหาซื้อ บิ๊กอายส์ใส่เอง ใส่แค่วันเดียวมีอาการเคืองตา จึงขยี้ตา จนเกิดแผลและติดเชื้อ หากไปพบหมอช้านิดเดียว ตามีสิทธิบอด


จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า เปิดเผยว่า โดยปกติคอนแทคเลนส์มาตรฐานจะมีขนาดมาตรฐานทางการแพทย์ คือเส้นผ่าศูนย์กลาง 13.5-14.5 มิลลิเมตร ส่วนบิ๊กอายส์จะมีขนาดตั้งแต่ 15-19 มิลลิเมตร ซึ่งใส่แล้วจะทำให้ดวงตาคับแน่น และผู้ใส่จะเกิดอาการไม่สบายตาต้องขยี้ตาบ่อยๆ เป็นผลให้เกิดแผลถลอกที่กระจกตาดำ และเชื้อโรคอาจเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลที่กระจกตาดำทำให้ตาบอดได้

10 ก.ค. 2555

[ข่าว] มหันตภัย 'บิ๊กอายส์' โจ๋สาว 18 ตาดำติดเชื้อหวิดบอด

จักษุแพทย์เตือนสาวอยากตาโตด้วย “บิ๊กอายส์” ต้องระวัง หลังพบคนไข้สาววัย 18 ซื้อมาใส่เอง แค่ วันเดียวได้เรื่อง ตาหวิดบอด เพราะเกิดอาการระคายเคืองแล้วเผลอขยี้ตาจนกระจกตาดำ เป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียกัดกินกระจกตาดำเกือบทะลุ โชคดีมาพบแพทย์ทัน แต่ต้องตามัว มองไม่ชัดไปตลอดชีวิต เพราะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ได้แต่เตือนอยากสวยด้วยบิ๊กอายส์ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

ปัญหาของสาวอยากมีดวงตาโตกว่าเดิม แต่กลับส่งผลร้ายต่อสุขภาพในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ว่า ปัจจุบันยังพบว่าวัยรุ่นผู้หญิงยังนิยมใส่คอนแทคเลนส์ตาโต หรือ บิ๊กอายส์ ซึ่งเป็นเลนส์ที่ไม่ใช่เลนส์สายตา แต่เป็นเลนส์เพื่อความสวยงาม เปลี่ยนสีตา ขยายขนาดของตาดำ เพราะต้องการเลียนแบบดารา นักร้อง นางแบบ อยากสวยอยากงาม ทั้งๆที่การใช้บิ๊กอายส์ หรือแม้กระทั่งคอนแทคเลนส์ที่เป็นเลนส์สายตา เสี่ยงอันตรายทั้งสิ้น เพราะอย่าลืมว่าคอนแทคเลนส์เป็นสิ่งแปลกปลอม และเมื่อต้องสัมผัสกับกระจกตาโดยตรงและเป็นเวลานาน หากคอนแทคเลนส์สกปรกจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาและอาจลุกลามถึงขั้นตาบอดได้ภายใน 2 วัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผู้ป่วยจากการใส่คอนแทคเลนส์ และบิ๊กอายส์มารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2554 มีประมาณ 20 รายส่วนในปี 2555 พบ 2 ราย โดยรายล่าสุดเข้ามารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อประมาณวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา

นพ.ฐาปนวงศ์กล่าวถึงผู้ป่วยรายล่าสุดว่าเป็นหญิงอายุ 18 ปี ไปซื้อบิ๊กอายส์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวบางลำภู นำมาใส่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่พอใส่แล้วที่ตาขวามีอาการแสบตา ระคายเคือง น้ำตาไหลต่อเนื่อง แล้วไปขยี้ตา และถอดบิ๊กอายส์ออก ต่อมาช่วงเย็นมีอาการตาบวม จึงเข้ามาพบแพทย์ที่ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกระจกตาดำข้างขวา โดยเชื้อแบคทีเรียได้กัดกินบริเวณกระจกตาดำมีแนวยาว 5 มิลลิเมตรและลึกลงไปประมาณ 1 มิลลิเมตร จนเกือบทะลุกระจกตาดำ ซึ่งโชคดีมากที่มารักษาทัน เพราะหากมาช้า 1 วัน ตาบอดแน่นอน ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่พบนั้น ชื่อว่า ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ตามสภาพแวดล้อมทั่วไป ซึ่งหากมีบาดแผลแล้วติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว จะมีอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายนี้โชคดีที่มาพบแพทย์ได้ทันทำให้ตาไม่บอด แต่เมื่อรักษาจนหายแล้วจะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ส่งผลให้เวลามองแล้วจะไม่ชัดเหมือนคนปกติ


จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าวต่อไปว่าคอนแทคเลนส์มาตรฐานจะมีขนาดมาตรฐานทางการแพทย์ คือเส้นผ่าศูนย์กลาง 13.5-14.5 มิลลิเมตร ส่วนบิ๊กอายส์จะมีขนาดตั้งแต่ 15-19 มิลลิเมตร ซึ่งใส่แล้วจะทำให้ดวงตาคับแน่น และผู้ใส่จะเกิดอาการไม่สบายตาต้องขยี้ตาบ่อยๆ เป็นผลให้เกิดแผลถลอกที่กระจกตาดำ และเชื้อโรคอาจเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลที่กระจกตาดำทำให้ตาบอดได้ ขณะเดียวกันหากใส่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาขาวอักเสบจากอาการแพ้เรื้อรัง ทำให้เยื่อบุตาขาวแห้งและอาจทำให้กระจกตาอักเสบ เกิดเป็นโรคตาแห้งคือเยื่อบุตาขาวแห้งโดยถาวร เกิดอาการตาผ่าวร้อน แพ้แสง ซึ่งจะเกิดความรำคาญแก่ดวงตาไปตลอดชีวิต ขอเตือนว่าการใช้คอนแทคเลนส์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งต้องดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด ต้องเก็บรักษาในน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะและปิดฝาให้สนิท เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกครั้งที่ใช้ ไม่ใช้น้ำยาแช่เลนส์ซ้ำๆห้ามล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำประปา เนื่องจากสารคลอรีนอาจทำให้เลนส์เสื่อมสภาพ และต้องล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง

ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ได้รับแจ้งมาจากนพ.ฐาปนวงศ์จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบจุดที่ผู้ป่วยระบุว่าไปซื้อบิ๊กอายส์ พบว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อสอบถามกลับไปยังผู้ป่วยพบว่าไปซื้อบิ๊กอายส์มาเก็บไว้นานแล้วจึงนำมาใส่ การใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์ หากเกิดการระคายเคืองดวงตาให้รีบพบแพทย์ทันที และโดยปกติแล้วการใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อน โดยในปัจจุบันมีบิ๊กอายส์ที่ได้รับอนุญาตจากทาง อย. เพียง 2-3 ยี่ห้อเท่านั้น ซึ่งประชาชนสามารถโทร.มาสอบถามได้ที่เบอร์สายด่วน อย. โทร.1556

17 เม.ย. 2555

สาระน่ารู้ : บิ๊กอาย

บิ๊กอาย เป็นคอนแทคเลนส์ชนิด bifocal เลนส์แบ่งออกเป็นสองครึ่งหนึ่ง ส่วนบนและส่วนอื่นๆ จะต่ำกว่า และบางครั้งก็สามารถอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลาง เลนส์หนึ่งในส่วนภายในและส่วนนอกที่ต้องการเลนส์ คอนแทคเลนส์บิ๊กอายจะอ่อน มีส่วนประกอบของวัสดุก๊าซ โดยตาของผู้สวมใส่จะเริ่มทยอยปรับตัวให้เข้าความแตกต่างของส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อตา ประสานงานกับการทำงานของเลนส์ แสงจะถูกหักเหในมุมของจอตา ความสามารถในการหักเหแสงที่แตกต่างอาจทำให้บางคนมีปัญหามากและปัญหาในการสวมใส่ ปัจจุบันบิ๊กอายจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข การผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย ต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบว่าได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบเข้าไปตรวจสอบ และจับกุมผู้ที่กระทำความผิด เพราะจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่มีลักษณะตาอักเสบจากการใส่บิ๊กอายเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการควรที่จะออกกฎระเบียบมาคุมเข้มในเรื่องของการใส่บิ๊กอาย หากเป็นบิ๊กอายที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผู้ที่จะนำมาสวมใส่ควรที่จะรักษาความสะอาดให้ดี จะช่วยป้องกันตาติดเชื้อแบคทีเรียได้


บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์
พิษบิ๊กอาย
1.พบว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวม เป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลา ทั้งเพศชายและหญิง ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยใน ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุ พบว่า ตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซา ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจส่งผลให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออก เพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซา ต้องใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งแบบยาฉีดและยาหยอดตา

2.สาเหตุที่ทำให้ตาติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ เกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์บิ๊กอาย ผู้ป่วยทุกรายมีประวัติใส่บิ๊กอายทั้งสิ้น โดยซื้อจากแผงลอยวางขายทั่วไปตามตลาดนัด สะพานพุทธ หรือย่านขายของวัยรุ่น สั่งซื้อจากอินเตอร์เน็ต หรือซื้อจากเพื่อนที่เป็นนายหน้าขายตรงด้วยการมีแคตตาล็อกแบบของบิ๊กอายให้ เลือกเป็นชนิดใส่รายปี ในราคาคู่ละ 300 บาท ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมใส่อย่างมากในกลุ่มพนักงานบริษัท หรือคนวัยทำงาน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาทั้งหญิงและชาย สวมใส่ตั้งแต่เรียนอยู่ในชั้นระดับมัธยมต้น

3.หนึ่งในผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ กล่าวว่า ใส่บิ๊กอายเนื่องจากเป็นคนสายตาสั้น เมื่อใส่แว่นจะรู้สึกเกะกะ และยอมรับว่าอยากสวย บวกกับเห็นเพื่อนใส่มานาน 2-3 ปี จึงตัดสินใจสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตแบบรายปี คู่ละ 300 บาท ซึ่งตนจะบอกระยะสายตาที่สั้น เลือกแบบแล้วเพื่อนจะเป็นคนสั่งซื้อให้พร้อมจัดส่งถึงบ้าน เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นคู่ที่ 2 ได้ราว 2-3 เดือน เริ่มมีอาการโดยเกิดการระคายเคืองตา จึงถอดบิ๊กอายออกและนอนหลับตามปกติ เมื่อตื่นขึ้นมา ตาแดง คิดว่าไม่เป็นไร เพราะเคยเป็นมาก่อน ทำให้ใส่บิ๊กอายกลับเข้าไปใหม่ แต่ทันทีที่เจอกับแสงแดด ปรากฏว่าตาสู้แสงไม่ได้ แสบตาและน้ำตาไหล ตาแดงก่ำมาก

4.ขณะที่ผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำอีกรายอายุ 14 ปี บอกว่า ซื้อบิ๊กอายจากร้านแผงลอยย่านสะพานพุทธ ใช้ได้ 3-4 เดือนเริ่มเกิดอาการแสบตา และตาแดงมาก รู้สึกเหมือนมีอะไรขาวๆ อยู่ในตาตลอดเวลา เจ็บมาก

บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์ แผลที่กระจกตา
แผลที่กระจกตาดำ
1.มักเกิดกับผู้ที่ละเลยกับการใส่ใจดูแลตัวเอง ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ พฤติกรรมการเปลี่ยนใส่คอนแทคเลนส์ เพียงแค่ลืมถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอน หรือเพียงแค่ลืมดูวันหมดอายุการใช้งานของคอนแทคเลนส์ การดูแลรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ ก็อาจมีผลถึงกับทำให้ตาบอดได้

2.อาการของโรค ได้แก่ ปวดในตา ตาแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ บีบตา ตามัว ตรวจพบกระจกตาขุ่น บวมและอักเสบ

3.การเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้กระจกตาเปลี่ยนสภาพ เกิดเป็นต้อหิน ต้อกระจก มักเป็นในรายที่ได้ยาขนาดเข้มข้นนานๆ บางรายกระจกตาบางลงและทะลุ อาจเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าลูกตา

4.ระดับของแผลที่กระจกตาชนิดเล็กน้อย แผลมีขนาดน้อยกว่า 2 มม. ความลึกของแผลน้อยกว่า 20% ของความหนาของกระจกตา

5.แผลระดับปานกลางขนาด 2-5 มม. ความลึกของแผล 20-50% ของความหนาของกระจกตา

6.แผลรุนแรงขนาดใหญ่กว่า 5 มม. ความลึกของแผลมากกว่า 50% ของความหนาของกระจกตา

บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์ ตาติดเชื้อแบคทีเรีย
ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรค
1.ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ผิดวิธี ใส่คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุ ใส่คอนแทคเลนส์ขณะนอนหลับ กระจกตาต้องการออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยง เมื่อมีคอนแทคเลนส์ขวางอยู่ ทำให้ออกซีเจนไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงกระจกตาได้ การไม่ล้างกล่องใส่คอนแทคเลนส์และคอนแทคเลนส์ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค เมื่อใส่คอนแทคเลนส์ที่มีเชื้อโรคสะสมอยู่ ทำให้เชื้อโรคที่สัมผัสกระจกตาปล่อยสารที่มีฤทธิ์ย่อยเยื่อกระจกตา เป็นสาเหตุของโรคกระจกตาเปือย

2.บางรายอาจเกิดจากอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดแผลที่ดวงตา แผลที่กระจกตาเป็นภาวะที่กระจกตาอักเสบเป็นแผล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาบอด พบเป็นอันดับสองรองจากต้อกระจก โดยการติดเชื้อที่กระจกตาทำให้มีแผลเป็นและมีฝ้าขาวที่กระจกตา การมองเห็นลดลงสายตาเลือนลาง และตาบอดได้ในบางราย ซึ่งสาเหตุเกิดได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส ปรสิต หรืออาจมีประวัติจากการเกิดอุบัติเหตุที่ตามาก่อนหรือไม่ก็ได้

3.การใส่คอนแทกเลนส์ติดต่อกันหลายวัน โดยไม่ได้ล้างทำความสะอาด ทำให้เชื้อโรคที่สัมผัสกระจกตาอยู่ ปล่อยสารออกฤทธิ์ย่อยเยื่อกระจกตาไปเรื่อยๆ ยิ่งเสี่ยงต่อโรคกระจกตาเปือย ซึ่งรุนแรงถึงขั้นตาบอดในชั่วข้ามคืนได้


การรักษา
  1. เริ่มให้ยาให้เร็วที่สุด หลังจากการวิเคราะห์การเพาะเชื้อของแผล และให้ยาที่ครอบคลุมเชื้อหลายชนิดก่อน และเมื่อทราบเชื้อ จึงเปลี่ยนหรือปรับยาที่เฉพาะต่อเชื้อที่สุดด
  2. การให้ยาจะประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ ให้ตามกลุ่มที่พบเชื้อจากการย้อมสี ถ้าไม่พบเชื้อ ควรให้ยาที่มีฤทธิ์กว้าง เช่น Cefazolin Ceftazidime ร่วมกับ Tobramycin หรือ Gentamicin หรือใช้ยาตัวเดียว เช่น Ciprofloxacin
  3. การหยอดตาควรหยอดบ่อยๆ ทุก 5-15 นาที ในชั่วโมงแรก โดยเว้น 5 นาที ถ้าใช้ยาตัวอื่นด้วยเพื่อเพิ่มปริมาณยาให้ถึงระดับเร็วๆ หรืออาจหยอดทุก 1 นาที เป็นวลา 5 นาที และซ้ำแบบนี้ทุก 30 นาที แล้วจึงห่างเป็นทุก 30-60 นาทีต่อไป


ข้อแนะนำการใส่คอนแทคเลนส์
  1. คอนแทคเลนส์ตาโตสีๆที่ขายทั่วไป อาจทำให้เราเห็นไม่ชัด เนื่องจากเส้นสีของเลนส์อาจขยับบังการมองเห็นของเรา ตัวเลนส์หนา ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ส่งผลให้ตาแห้ง
  2. ล้างและถูตัวเลนส์ก่อนเก็บและก่อนใส่ทุกครั้ง วิธีล้างคือเทน้ำยาลงที่ตัวเลนส์ ถูเลนส์ เทน้ำยาทิ้ง ทำแบบนี้สัก 2-3 ครั้ง เพื่อเอาคราบโปรตีนและสิ่งสกปรกออก
  3. หมั่นเปลี่ยนน้ำยาที่แช่เลนส์บ่อยๆ เพราะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
  4. คอนแทคเลนส์รายเดือนดีกว่ารายปี ยิ่งใส่นาน เชื้อโรคยิ่งสะสมมาก
  5. อย่าใส่ติดต่อกันนานจนเกินไปประมาณ 12 ชม. ก็ควรถอดและเปลี่ยนมาใส่แว่นแทนบ้าง เพื่อเป็นการให้ตาได้ถ่ายเทออกซิเจนได้สะดวก
  6. หากนั้งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ให้ละสายตามองออกไปข้างนอกบ้าง
  7. คอนแทคเลนส์ตาโตคุณภาพไม่ดีเท่าคอนเทคเลนส์ทั่วไป
  8. กระพริบตาหรือหลับตาบ่อบๆ ตาจะได้ไม่แห้ง

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
www.bangkokhealth.com/index.php/eyes/3685-Big-Eyes.html

30 มี.ค. 2555

[บทความ] บิ๊กอาย อันตรายถึงตาบอด

คงปฏิเสธไม่ได้ถึงแฟชั่นยอดฮิต....บิ๊กอายที่แพร่หลายอยู่ในหมู่วัยรุ่นและวัยทำงาน ด้วยความที่หาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นทางร้านค้าออนไลน์หรือแม้แต่ตามตลาดนัดทั่วไป อันที่จริงแล้วบิ๊กอายเป็นคอนแทกเลนส์แฟชั่น ใส่แล้วทำให้ตาดำดูใหญ่ขึ้น แถมยังมีลูกเล่นสีและลวดลายต่างๆ ตามเทรนด์เกาหลี และที่สำคัญราคายังไม่แพงอีกด้วย ซึ่งจริงๆแล้วผลิตภัณฑ์นี้จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น การผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย จึงจำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนเท่านั้น


ในระยะที่ผ่านมามีข่าวผู้ป่วยติดเชื้อที่ตาเนื่องจากการใช้บิ๊กอายหลายราย เชื้อที่เป็นสาเหตุ คือ ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไป เชื้อนี้เป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกของการติดเชื้อที่กระจกตาในผู้ใช้คอนแทกเลนส์ นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่คนที่ใช้บิ๊กอายเท่านั้นแต่หมายรวมถึงคนใช้คอนแทกเลนส์ทั่วไปด้วย หากยังจำกันได้ เชื้อชนิดเดียวกันนี้เคยเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนางงามชาวบราซิลวัย 20 ปี ที่ติดเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกันนี้ที่กระเพาะปัสสาวะในขณะอยู่โรงพยาบาล ภายหลังเข้ารับการรักษาผ่าตัดนิ่วที่ไต ซึ่งในที่สุดคณะแพทย์ต้องตัดมือและเท้าทั้ง 2 ข้างออกเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวเข้าสู่กระแสเลือด และได้เสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษเท่านั้น หรือในประเทศไทยเองก็เกิดเป็นข่าวดังจากการติดเชื้อดังกล่าวที่กระจกตาเมื่อมารับการผ่าตัดในโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยบางรายถึงขั้นตาบอด

ทำไมเชื้อชนิดเดียวกันนี้จึงก่อให้เกิดโรคในลักษณะที่แตกต่างกันได้หลายโรค ?????????คำตอบนั้นอยู่ที่ตัวเชื้อนี้เป็นแบคทีเรียแกรมลบที่จัดเป็นเชื้อประเภทฉวยโอกาส นั่นหมายความว่า เชื้อนี้มักไม่ก่อโรคในคนที่มีสุขภาพดี แต่มักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งรวมไปถึงผู้ป่วยที่อยู่ในอาการโคม่าหรือผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล แบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายและก่อโรคได้หลายระบบ อาทิเช่น การติดเชื้อที่กระจกตา ระบบประสาทส่วนกลาง เยื้อหุ้มหัวใจ ปอด ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ทางเดินปัสสาวะ ปัญหาสำคัญของเชื้อนี้ คือ มักก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เชื้อตัวยังมีความสามารถในการดื้อยาสูงและเชื้อบางสายพันธุ์ของกลุ่มนี้สามารถดื้อยาหลายขนาน หรือที่รู้จักกันว่า Multi-Drug Resistance (MDR)

สำหรับการติดเชื้อที่กระจกตาจากการใช้คอนแทคเลนส์นั้น ดังที่กล่าวแล้วไม่ใช่แต่เพียงผู้ใช้บิ๊กอายเท่านั้น แต่หมายรวมถึงคอนแทกเลนส์ทั่วไปด้วย สิ่งที่ต้องระวังก็คือ บิ๊กอายที่นำเข้ามาโดยไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ยิ่งตัวเลนส์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าตาดำของชาวเอเชียแล้ว ยิ่งอาจก่อความระคายเคืองเกิดรอยถลอก ทำให้โอกาสที่เชื้อผ่านชั้น เยื่อบุผิวตาดำ ไปสู่กระจกตามีมากยิ่งขึ้น เชื้อนี้ยังสามารถสร้างเอนไซม์หลายชนิด เช่น เอ็นไซม์ที่ใช้ย่อยโปรตีนซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุผิวตาดำได้ นอกจากนี้ยังมีอาวุธประจำกายอื่นๆ ที่หลากหลายในการทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจจัดแบ่งออกได้เป็นดังนี้
  1. การเข้าเกาะติดเนื้อเยื่อและทวีจำนวนเชื้อ
  2. การเข้าบุกรุกทำลายเซลล์
  3. สร้างเอนไซม์และท็อกซินที่เป็นพิษต่อเนื้อเยื่อ

เชื้อนี้ยังมีความสามารถในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ผลิตสารที่ทำลายกระจกตาได้ นอกจากนี้ยังกระตุ้นตัวรับ (receptor) เยื่อบุผิวตาดำให้จับตัวเชื้อแล้วกระตุ้นให้เซลล์สร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ที่จะดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวเข้ามาที่กระจกตา เกิดการทำลาย เยื่อบุผิวตาดำ ก่อให้เกิดอันตรายจนอาจทำให้ตาบอดถาวรได้ ดังนั้น ก่อนเลือกใช้คอนแทกเลนส์ จึงควรตรวจสอบว่าผ่านการรับรองจากอย. หรือไม่ และควรดูแลทำความสะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจุลินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ

ที่มา : http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=36
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มัลลิกา ชมนาวัง

ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

29 มี.ค. 2555

3 ข้อ เตือนใจก่อนใส่บิ๊กอาย

อย.เตือน!! ก่อนใช้คอนแทคเลนส์ ควรปรึกษาจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อการใช้งานอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงศึกษา วิธีการใช้ คำเตือน วิธีการเก็บรักษา ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวัง ที่สำคัญเลือกซื้อคอนแทคเลนส์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. แล้ว โดยสังเกตได้จากเครื่องหมาย อย. บนฉลากกล่อง และควรสังเกตเดือน ปี ที่หมดอายุ ไม่ควรซื้อจากร้านค้า แผงลอยตามตลาด หรือศูนย์การค้า เพราะอาจเสี่ยงกับคอนแทคเลนส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงหากใช้ไม่ถูกวิธี อาจถึงขั้นตาบอดได้ จึงขอมอบ คาถา 3 ข้อ คือ

1. ใช้คอนแทคเลนส์ ที่ได้รับอนุญาตจาก อย.
2. ใช้อย่างถูกวิธี
3. รักษาความสะอาดอยู่เสมอ


นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า คอนแทคเลนส์ หรือเลนส์สัมผัสที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เพื่อแก้ไขความผิดปกติของสายตาหรือเพื่อความสวยงาม จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องได้รับอนุญาตตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เลนส์สัมผัส ดังนั้น คอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส บนฉลากหรือเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์นั้นจะต้องระบุ ชื่อสินค้า วัสดุที่ใช้ทำ ค่าพารามิเตอร์ (กำลังหักเห ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง รัศมีความโค้ง) เลขที่ใบอนุญาต ระยะเวลาการใช้งาน วิธีการใช้ วิธีการเก็บรักษา

สาววัยรุ่น ใส่บิ๊กอาย ตาโต แอ๊บแบ๊ว เกาหลี


คำเตือนโดยแสดงข้อความว่า..
'การใช้เลนส์สัมผัสควรได้รับ การสั่งใช้ และตรวจติดตามทุกปี โดยจักษุแพทย์หรือผู้ประกอบโรคศิลปโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์เท่านั้น' 'การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธีมีความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นเสียสายตาอย่างถาวรได้'

ข้อห้ามใช้โดยแสดงข้อความว่า..
'ห้ามใส่คอนแทคเลนส์สัมผัสนานเกินระยะเวลาใช้งานที่กำหนด' 'ห้ามใช้เลนส์สัมผัสร่วมกับบุคคลอื่น'
'ห้ามใส่เลนส์สัมผัสทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้จะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน'

รวมทั้งข้อควรระวังในการใช้ ทั้งนี้ ผู้ขายต้องขายเฉพาะคอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัสที่ได้รับอนุญาตจาก อย. และต้องดูแลให้มีฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ตามที่ได้รับอนุญาตไว้ รวมถึงการโฆษณาคอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัสใดๆ ต้องได้รับอนุญาตจาก อย. ก่อน

รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า ก่อนตัดสินใจใช้คอนแทคเลนส์ควรปรึกษาจักษุแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อการใช้งานอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงศึกษาวิธีการใช้ วิธีการเก็บรักษา ระยะเวลาการใช้งาน คำเตือน ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวัง ที่สำคัญ เลือกซื้อคอนแทคเลนส์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. แล้ว โดยสังเกตได้จากเครื่องหมาย อย. บนฉลากกล่อง และควรสังเกตเดือน ปี ที่หมดอายุ ไม่ควรซื้อคอนแทคเลนส์จากร้านค้า แผงลอยตามตลาด หรือศูนย์การค้า เพราะอาจได้รับอันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน และก่อนการใช้ควรอ่านฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ให้เข้าใจเสียก่อน เพราะหากใช้ไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ กระจกตาเป็นแผล จนถึงขั้นตาบอดได้ ปัญหาที่พบบ่อยสำหรับผู้ใช้คอนแทคเลนส์ คือ การรักษาความสะอาดอย่างไม่ถูกต้อง ทั้งการล้าง แช่ และเก็บรักษา ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียอันตรายถึงขั้นทำให้ตาบอดได้เช่นกัน


อันตรายจากการใส่ บิ๊กอาย

ดังนั้น เพื่อการใช้คอนแทคเลนส์อย่างปลอดภัย อย.จึงขอมอบคาถา 3 ข้อ คือ
1. ใช้คอนแทคเลนส์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย.
2. ใช้อย่างถูกวิธี
3. รักษาความสะอาดอยู่เสมอ

ที่มาจาก : กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค อย.

19 ก.พ. 2554

รายการเจาะข่าวเด่น : บิ๊กอาย ทำตาบอด

ภัยคอนแทกท์เลนส์ยอดฮิต "บิ๊กอาย" เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.พ. นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และจักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวมเป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลาถึง 4 ราย ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี และอายุน้อยสุด 14 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุการเกิดอาการ ทำให้ทราบว่า เกิดจากตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจทำให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออกเพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อสูโดโมแนสฯใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งชนิดฉีดและหยอดตา

ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง3 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554



ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
หามส่ง รพ. 4โจ๋เหยื่อ บิ๊กอาย เสี่ยงบอด - ควักตา
บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

18 ก.พ. 2554

[ข่าว] บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

แพทย์เตือนอันตรายจากคอนแทกท์เลนส์ "บิ๊กอาย" หลังมีผู้ป่วยติดเชื้อสูโดโมแนสที่ตา ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาตัวแล้ว 4 ราย จักษุแพทย์ ระบุ เป็นแบคทีเรียร้ายแรงลามกินตาดำได้ภายใน 2 วัน รักษาไม่ทันถึงขั้นตาบอด ผู้ป่วยรับหาซื้อง่ายแม้กระทั่งตามตลาดนัด จี้ภาครัฐออกมาเข้มงวด เพราะจัดอยู่ในกลุ่ม เครื่องมือแพทย์ ต้องได้รับอนุญาตจาก อย.


บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

ภัยคอนแทกท์เลนส์ยอดฮิต "บิ๊กอาย" เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.พ. นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และจักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวมเป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลาถึง 4 ราย ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี และอายุน้อยสุด 14 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุการเกิดอาการ ทำให้ทราบว่า เกิดจากตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจทำให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออกเพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อสูโดโมแนสฯใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งชนิดฉีดและหยอดตา


"จากการสอบถามผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ทราบว่า สาเหตุที่ทำให้ตาติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้น่าจะเกิดจากการใส่ คอนแทกท์เลนส์บิ๊กอาย เนื่องจากผู้ป่วยทุกรายมีประวัติใส่บิ๊กอาย โดยซื้อจากแผงลอยวางขายทั่วไปตามตลาดนัดสะพานพุทธ หรือย่านขายของวัยรุ่น สั่งซื้อจากอินเตอร์เน็ต หรือซื้อจากเพื่อนที่เป็นนายหน้าขายตรง ที่มีแค็ตตาล็อกแบบของบิ๊กอายให้เลือก เป็นชนิดใส่รายปี ราคาคู่ละ 300 บาท ขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมใส่อย่างมากในกลุ่มพนักงานบริษัทหรือคนวัยทำงาน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาทั้งหญิงและชายสวมใส่ตั้งแต่เรียนอยู่ในชั้นระดับ ม.ต้น" นพ.ฐาปนวงศ์กล่าว

รองผู้อำนวยการ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบิ๊กอายจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข การผลิตนำเข้าหรือจำหน่ายต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงไม่แน่ใจว่าผู้ขายที่จำหน่ายตามตลาด แผงลอย หรืออินเตอร์เน็ตได้รับการอนุญาตจาก อย.หรือไม่ หรือเป็นการลักลอบ

จำหน่ายแบบผิดกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบเข้าไปตรวจสอบและจับกุมผู้ที่กระทำความผิด เพราะจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่มีลักษณะตาอักเสบจากการใส่บิ๊กอายเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล ในส่วนของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการควรออกกฎระเบียบมาคุมเข้มในเรื่องการใส่บิ๊กอายในกลุ่มเด็กด้วย อย่างไรก็ตาม หากเป็นบิ๊กอายที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ผู้ที่จะนำมาสวมใส่ควรที่จะรักษาความสะอาดให้ดี จะช่วยป้องกันตาติดเชื้อ

ด้าน น.ส.พร (นามสมมติ) อายุ 20 ปี หนึ่งในผู้ป่วยกล่าวว่า ใส่บิ๊กอายเนื่องจากเป็นคนสายตาสั้น เมื่อใส่แว่นจะรู้สึกเกะกะ ยอมรับว่าอยากสวยและเห็นเพื่อนใส่มานาน 2-3 ปี จึงตัดสินใจสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตแบบรายปีคู่ละ 300 บาท ซึ่งตนจะบอกระยะสายตาที่สั้น เลือกแบบ

แล้วเพื่อนจะเป็นคนสั่งซื้อให้พร้อมจัดส่งถึงบ้าน เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นคู่ที่ 2 ได้ราว 2-3 เดือน เริ่มมีอาการ โดยเกิดการระคายเคืองตา จึงถอดบิ๊กอายออกและนอนหลับตามปกติ เมื่อตื่นขึ้นมาตาแดงคิดว่าไม่เป็นไรเพราะเคยเป็นมาก่อน ทำให้ใส่บิ๊กอายกลับเข้าไปใหม่ แต่ทันทีที่เจอกับแสงแดดปรากฏว่าตาสู้แสงไม่ได้ แสบตาและน้ำตาไหล ตาแดงก่ำมาก เดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์ให้ยาฆ่าเชื้อแต่ไม่หาย ทำให้ต้องตัดสินใจมาพบแพทย์อีกครั้งที่ รพ.พระนั่งเกล้า อยากฝากถึงวัยรุ่นที่จะใส่บิ๊กอายควรที่จะเลือกซื้อจากร้านที่ผ่านการอนุญาตจาก อย.อย่าซื้อตามตลาดนัด หรือเว็บไซต์

ขณะที่ ด.ญ.รัก (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ เผยว่า ซื้อบิ๊กอายจากร้านแผงลอยย่านสะพานพุทธ ใช้ได้ 3-4 เดือน เริ่มเกิดอาการแสบตาและตาแดงมาก รู้สึกเหมือนมีอะไรขาวๆอยู่ในตาตลอดเวลา เจ็บมาก เพื่อนๆที่คิดจะซื้อบิ๊กอายมาใส่หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรใส่ หากจะต้องใส่ควรปรึกษาแพทย์หรือซื้อจากร้านที่ถูกกฎหมาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
รายการเจาะข่าวเด่น  บิ๊กอาย ทำตาบอด
[ข่าว] หามส่ง รพ. 4โจ๋เหยื่อ บิ๊กอาย เสี่ยงบอด - ควักตา

[ข่าว] หามส่ง รพ. 4โจ๋เหยื่อ บิ๊กอาย เสี่ยงบอด - ควักตา

พิษ "บิ๊กอาย" อันตราย พบแผลที่กระจกตาดำ เผยแบคทีเรียร้ายกินทะลุได้ภายใน 2 วัน แถมเข้าสู่กระแสเลือดได้ หมอชี้รักษาไม่ทันอาจทำให้ตาบอดหรือควักลูกตาทิ้งได้ พบเหยื่อโจ๋หญิง-ชาย 4 รายเข้ารักษาที่ร.พ.พระนั่งเกล้าหลังตาบวมฉึ่ง สอบถามพบอยากสวยเลยซื้อคอนแท็กต์เลนส์แบบบิ๊กอายมาใส ่ ทั้งสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตและตลาดนัดสะพานพุทธ

วันที่ 15 ก.พ. น.พ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการตรวจ ผู้ป่วยด้านตาพบว่าในรอบ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบวม เป็นสีแดงก่ำ ปวด และมีขี้ตาเป็นสีเขียวออกมาตลอดเวลา ถึง 4 ราย เป็นเพศชายและหญิง ทุกรายเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี และอายุน้อยสุด 14 ปี เมื่อส่องกล้องพบว่ามีรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ เป็นลักษณะของการเกิดแผลที่กระจกตาดำ ผู้ป่วยทั้ง 4 รายต้องเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยใน ผลจากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาสาเหตุ พบว่า ตาติดเชื้อแบคทีเรียสูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน หากรักษาไม่ทันอาจส่งผลให้ตาบอด หรือต้องควักลูกตาออก เพื่อไม่ให้ลามไปยังอวัยวะอื่น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เข้าสู่กระแสเลือดได้ ในการรักษาตาติดเชื้อสูโดโมแนสฯ ต้องใช้เวลานานและต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งแบบยา ฉีดและยาหยอดตา

ตาติดเชื้อ ใส่บิ๊กอาย

"จาก การสอบถามผู้ป่วยทั้ง 4 ราย สาเหตุ ที่ทำให้ตาติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ น่าจะเกิด จากการใส่คอนเท็กต์เลนส์บิ๊กอาย เนื่องจากผู้ป่วยทุกรายมีประวัติใส่บิ๊กอายทั้งสิ้น โดยซื้อจากแผง ลอยวางขายทั่วไปตามตลาดนัด สะพานพุทธ หรือย่านขายของวัยุร่น สั่งซื้อจากอินเตอร์เน็ต หรือซื้อจากเพื่อนที่เป็นนายหน้าขายตรงด้วยการมีแค็ต ตาล็อกแบบของบิ๊กอายให้ เลือกเป็นชนิดใส่รายปี ในราคาคู่ละ 300 บาท ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมใส่อย่าง มากในกลุ่มพนักงานบริษัทหรือคนวัยทำงาน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษาทั้งหญิงและชายสวมใส่ตั้งแต่เรียนอยู่ในชั้น ระดับมัธยมต้น" น.พ. ฐาปนวงศ์ กล่าว

น.พ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบิ๊กอาย จัด เป็นเครื่องมือแพทย์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข การผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย ต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คงต้องตรวจสอบกันต่อไปว่าได้รับการอนุญาตจากอย.หรือไ ม่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบเข้าไปตรวจสอบ และจับกุมผู้ที่กระทำความผิด เพราะจำนวนผู้เข้า รับการรักษาที่มีลักษณะตาอักเสบจากการ ใส่บิ๊กอายเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรที่จะออกกฎระเบียบมาคุมเข้มในเรื่องของการใส่บิ๊ก อาย ทั้งนี้ หากเป็นบิ๊กอายที่ได้รับอนุญาตจากอย. ผู้ที่จะนำมาสวมใส่ควรที่จะรักษาความสะอาดให้ดี จะช่วยป้องกันตาติดเชื้อได้

น.ส.ณัฐ พร อุ่นธรรม อายุ 20 ปี หนึ่งในผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ กล่าวว่า ใส่บิ๊กอายเนื่องจากเป็นคนสายตาสั้น เมื่อใส่แว่นจะรู้สึกเกะกะ และยอมรับว่าอยากสวย บวกกับเห็นเพื่อนใส่มานาน 2-3 ปี จึงตัดสินใจสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตแบบรายปี คู่ละ 300 บาท ซึ่งตนจะบอกระยะสายตาที่สั้น เลือกแบบแล้วเพื่อนจะเป็นคนสั่งซื้อให้พร้อมจัดส่งถึ งบ้าน เมื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นคู่ที่ 2 ได้ราว 2-3 เดือน เริ่มมีอาการโดยเกิดการระคายเคืองตา จึงถอดบิ๊กอายออกและนอนหลับตามปกติ เมื่อตื่นขึ้นมาตาแดงคิดว่าไม่เป็นไร เพราะเคยเป็นมาก่อน ทำให้ใส่บิ๊กอายกลับเข้าไปใหม่ แต่ทันทีที่เจอกับแสงแดดปรากฏว่าตาสู้แสงไม่ได้ แสบตาและน้ำตาไหล ตาแดงก่ำมาก พบแพทย์เพื่อให้ยาฆ่าเชื้อก็ไม่หาย

ขณะที่ ด.ญ.รัก (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ผู้ป่วยตาติดเชื้อจนเกิดแผลที่กระจกตาดำ บอกว่า ซื้อบิ๊กอายจากร้านแผงลอยย่านสะพานพุทธ ใช้ได้ 3-4 เดือนเริ่มเกิดอาการแสบตา และตาแดงมาก รู้สึกเหมือนมีอะไรขาวๆ อยู่ในตาตลอดเวลา เจ็บมาก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
รายการเจาะข่าวเด่น  บิ๊กอาย ทำตาบอด
บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

14 ม.ค. 2554

เลดี้กาก้า นำเทรนบิ๊กอาย อเมริกาเตือน "Big Eye" เป็นอันตราย ผิดกฏหมายในอเมริกา

นับตั้งแต่กระแสความโด่งดังของ Music Video "Bad Romance" ของนักร้องสาวชาวอังกฤษ Lady Gaga ทำให้วัยรุ่นอเมริกันเริ่มนิยมใส่ Contact Lenses ที่เรียกว่า "Big Eye" กันเป็นจำนวนมาก จนหลายฝ่ายต้องออกมาเตือนในการใช้และการเลือกซื้อ เพราะวัยรุ่นจำนวนมากนิยมสั่งซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต จากร้านค้าออนไลน์ในแถบเอเชีย  



Lady Gaga Bad Romance ใส่บิ๊กอาย
Lady Gaga - Bad Romance
 
เลดี้ กาก้า นักร้องสาวแนวป๊อปแดนซ์ ที่กำลังโด่งดังสุดขีดอยู่ในขณะนี้ ถูกตำหนิอีกแล้ว ฐานมีส่วนเป็นแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นหันมานิยมใส่คอนแท็คเลนส์ "บิ๊กอาย" ที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ซึ่งเป็นการเอาอย่างในมิวสิควีดีโอ "แบ้ด โรแมนซ์" ของเธอ ที่ใส่คอนแท็คเลนส์ชนิดทำให้ดวงตาดูกลมโตแป๋วแหวว และปรากฎว่าคอนแท็คเลนส์ชนิดนี้ขายดีอย่างมากในอินเตอร์เน็ต แต่เป็นสิ่งผิดกฎหมายในสหรัฐ เพราะสำนักงานอาหารและยาแห่งสหพันธ์ ( FDA ) ไม่ให้การรับรอง คอนแท็คเลนส์ชนิดนี้ไม่ได้คลุมแค่กระจกตาเหมือนคอนแท็คเลนส์ทั่วไป แต่ยังคลุมไปถึงตาขาวอันเป็นสาเหตุในดวงตาที่ถูกปกคลุมขาดอ็อกซิเจน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะติดเชื้อแบคทีเรียหรือรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น อีกทั้งการผลิต contact lenses "Big Eye" บางครั้งไม่ได้คุณภาพที่ดีพอ หรือไม่ได้ผลิตจากคนที่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับดวงตามากพอ (เช่น จักษุแพทย์) ก็จะทำให้ตาบอด อักเสบติดเชื้อ หรือทำลาย cornea
ดร.มาจิด โมเช่ จากศูนย์ดวงตาโมรัน กล่าวว่า การใส่คอนแท็คเลนส์ประเภทนี้ อาจส่งผลให้ดวงตาแห้งเรื้อรัง ซึ่งอาการแบบนี้อาจไม่เกิดกับทุกคนที่ใส่ แต่สำหรับบางคนก็อาจโชคร้ายได้เช่นกัน


มิวสิกวิดีโอเพลง Bad Romance ของ Lady Gaga


ข้อมูลจาก :  http://www.cbsnews.com/stories/2010/07/07/eveningnews/main6655501.shtml

16 ก.ค. 2553

อันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์แฟชั่น "บิ๊กอาย"




อันตรายจากการใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่น
อันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์แฟชั่น "บิ๊กอาย"
  

คอนแทคเลนส์” หรือ “เลนส์สัมผัส” จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่งที่ใช้เพื่อปรับสายตา แต่ในปัจจุบันได้มีการนำเอาคอนแทคเลนส์มาใช้สวมใส่เพื่อความสวยงาม ซึ่งมีทั้งแบบที่ทำให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น และแบบที่ช่วยเปลี่ยนสีตาเป็นสีต่าง ๆ ได้

กระแสคอนแทคเลนส์แฟชั่นได้แพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี 2549 ที่ผ่านมา โดยวัยรุ่นไทยนิยมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อให้ตา กลมโตเลียนแบบดาราเกาหลี และญี่ปุ่น คอนแทคเลนส์แฟชั่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีในนาม บิ๊กอายส์ หรือ คอนแทคเลนส์ตาโต ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี

ปัจจุบันคอนแทคเลนส์แฟชั่นไม่ได้มีวางจำหน่ายแต่เฉพาะในร้านแว่นตา หรือคลินิกจักษุแพทย์เท่านั้น แต่ยังมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อคอนแทคเลนส์แฟชั่นมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะใช้คอนแทคเลนส์เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เลนส์ที่ใช้จะต้องสัมผัสกับผิวของดวงตาที่บอบบาง การติดเชื้อหรือฉีกขาดอาจเกิดได้ง่าย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้คอนแทคเลนส์หากใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ และอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้ เหมือนกับข่าวเมื่อปลายปี 49 ที่ผ่านมา ที่มีชายชาวนิวซีแลนด์ที่ตาบอดจากการสวมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อความสนุกสนานในงานปาร์ตี้ จนเกิดการติดเชื้อหลังสวมใส่คอนแทคเลนส์นาน 3 วัน ทั้งนี้การใส่คอนแทคเลนส์จะต้องได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์ โดยผู้สวมใส่จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ หรือนักทัศนมาตรศาสตร์ หรือคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จัดทำมาตรการกำกับดูแลคอนแทคเลนส์ทุกประเภทให้เข้มงวดมากขึ้น โดยได้จัดทำร่างประกาศกำหนดให้คอนแทคเลนส์ทุกประเภท เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า จะต้องแจ้งรายละเอียดต่ออย.ก่อนผลิตหรือนำเข้า อีกทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตหรือนำเข้าต้องจำหน่ายคอนแทคเลนส์ให้กับสถานที่ที่กำหนดเท่านั้น เช่น สถานพยาบาล ผู้บริโภคไม่ควรซื้อคอนแทคเลนส์ที่จำหน่ายตามแผงลอย เพราะอาจเป็นอันตรายถึงตาบอดได้

นอกจากนี้ อย. ยังได้กำหนดให้ฉลากของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะต้องมีคำเตือน ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวังต่าง ๆ บนฉลากอย่างชัดเจน นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า “ประชาชนควรระมัดระวังการใช้คอนแทคเลนส์ทุกชนิด โดยไม่ควรซื้อมาใช้เอง และซื้อจากร้านที่เป็นแผงลอย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด และหากมีภาวะผิดปกติ เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง กะพริบตาไม่เต็มที่ ก็ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์

สิ่งที่สำคัญที่ต้องระลึกถึงอยู่เสมอคือเรื่องสุขลักษณะ ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และห้ามใส่เวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...

29 พ.ค. 2553

[ข่าว] ภัยจากคอนแทคเลนส์ตาโต

ศ.พ.ญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
ระยะนี้มีข่าวจากสื่อต่างๆ ทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ฮือฮา ถึงการใส่ contact lens ทำให้ตาโตขึ้น คงเป็นที่สนใจของสาวๆ ตาตี่ๆ กันทั่วไป ก่อนจะไปใช้น่าจะมาเรียนรู้ถึงข้อควรปฏิบัติและโทษของมันดูบ้าง อย่ามุ่งมั่นเพื่อความสวยงาม โดยลืมนึกถึงความปลอดภัย

เลนส์สัมผัสหรือที่เรียกกันติดปากว่า Contact lens เป็นแผ่นพลาสติคใสๆ บางๆ ได้รับการหล่อหรือขัดเกลาให้เป็นแผ่นกลมรูปกะทะ โดยมีความโค้งใกล้เคียงกับความโค้งของตาดำของเรา ตัวเลนส์มีกำลังหักเหของแสงคล้ายๆ เลนส์ที่ใช้ในแว่นตาขนาดต่างๆ เพื่อแก้ไขสายตาที่ผิดปกติ ได้แก่ ตาสั้น ตายาว และตาเอียง เมื่อนำเลนส์สัมผัสมาใช้ โดยปะวางที่ตาดำอาศัยน้ำตาที่ฉาบบางๆ อยู่ผิวตาดำเป็นตัวยึดให้เลนส์ติดกับตาดำ โดยที่เลนส์ขยับเคลื่อนที่ได้เล็กน้อยเมื่อเรากลอกตาไปมา


ปัจจุบันการใช้เลนส์สัมผัสมีจุดประสงค์ 3 ประการ
  1. เพื่อแก้ไขสายตาที่ผิดปกติ ทดแทนแว่นสายตา กล่าวคือสามารถแก้ไข สายตาสั้น ตายาว ตาเอียง ตลอดจนสายตาผู้สูงอายุ โดยไม่ต้องใช้แว่นตา เป็นจุดประสงค์หลักที่ใช้กันมากที่สุด
  2. ใช้รักษาโรคกระจกตาบางชนิด เป็นการใช้ชั่วคราวเมื่อโรคกระจกตานั้นหายก็เลิกใช้
  3. ใช้เพื่อความสวยงาม เพื่อเปลี่ยนสีดวงตา หรือเพื่อปิดฝ้าขาวบริเวณตาดำ ในปัจจุบันนำมาใช้ให้ดวงตาดูโตขึ้นที่ฮือฮาเป็นข่าวอยู่นี้
Contact lens ที่ออกมาแต่เดิมเป็นเลนส์ใสไร้สี เพื่อจุดประสงค์ 2 ข้อแรก สำหรับ contact lens สี เพิ่งมีใช้
ในระยะสิบกว่าปีมานี้ เพื่อจุดประสงค์ในข้อ 3 และมีบ้างที่ contact lens สี ช่วยทั้งเปลี่ยนสีตาและแก้ไขสายตาที่ผิดปกติด้วย อาจแบ่ง contact lens สีออกเป็น 4 ชนิด
  1. Visibility colored contact lens เป็นสีอ่อนๆ ออกสีฟ้าหรือเขียวอ่อน เป็นอันแรกๆ ของเลนส์สัมผัสสี จุดประสงค์ให้ผู้ใช้มองเห็นได้ง่ายแต่เดิมผู้ใช้เลนส์สัมผัสไร้สีเมื่อถอดออกจากดวงตาแทบจะมองไม่เห็น อาจจะตกหล่นหรือหาย หรือแม้เมื่อถอดออกจากตาใส่ในตลับอาจวางเลนส์ที่ขอบตลับเมื่อปิดตลับ ทำให้เลนส์ฉีกขาดได้ ถ้าทำเป็นสีจางๆ จะช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นเลนส์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเลนส์สีชนิดนี้สีจางมากจึงไม่เปลี่ยนสีตาของผู้ใช้
  2. Enhance colored contact lens เป็นเม็ดสีที่ย้อมเข้าไปในเนื้อ contact lens ที่เข้มกว่าและเม็ดสี หนาแน่นกว่า จุดประสงค์เพื่อเปลี่ยนสีตาของผู้ใช้ โดยเม็ดสีจะอยู่ในเนื้อ contact lens รอบๆ เว้นตรงกลางให้แสงเข้าเพื่อให้มองเห็นได้ดี
  3. Opaque colored contact lens เป็นเม็ดสีที่เข้มขึ้นไปอีกอยู่ในเนื้อเลนส์ที่ลึกลงไป มีสีต่างๆ หลายสี ใช้ในการเปลี่ยนสีตา ถือเป็นเครื่องประดับบริเวณตา มักใช้ในนักแสดงที่แต่งตัวสีฉูดฉาดและต้องการให้ดวงตามีสีแปลกๆ ด้วย นอกจากนี้อาจย้อมเม็ดสีให้กินบริเวณรอบนอกของเลนส์ ทำให้เมื่อใช้เลนส์นี้ดูตาดำใหญ่ขึ้นอันเป็นที่มาของเลนส์ช่วยให้ตาโต
  4. Light – filtering contact lens เป็นพัฒนาการของ contact lens สีชนิดล่าสุดมักใช้ในกีฬา เป็นการ ทำเลนส์เป็นสีเพื่อกรองแสงบางสีออกไป เพิ่มความชัดของวัสดุที่จะมอง เช่น เพื่อให้สีของลูกเทนนิสหรือลูกกอล์ฟเด่นชัดขึ้น ตัวอย่างนักกอล์ฟใช้สีอำพันเพื่อตัดสีครามของท้องฟ้าไกลๆ ทำให้เห็นลูกกอล์ฟชัดขึ้น

ถ้าท่านตัดสินใจที่จะลองใช้ CL สี ควรปรึกษาจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดูก่อนว่าดวงตาของท่า เหมาะสมหรือสมควรใช้หรือไม่ CL มิได้เหมาะสำหรับดวงตาทุกคู่ ผู้ที่ไม่เหมาะที่จะใช้ได้แก่
  1. ผู้ที่มีโรคผิวหนังบริเวณเปลือกตาแบบเรื้อรัง การที่เปลือกตาอักเสบทำให้ไม่สบายตา อีกทั้งมักมีสารที่ขับจากต่อมบริเวณเปลือกตาเปลี่ยนไป
  2. ผู้ที่ตาแห้ง
  3. มีกระจกตาผิดปกติ
  4. เป็นภูมิแพ้ เพราะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อาจจะเกิดการแพ้ต่อสารที่ทำเลนส์หรือแพ้น้ำยาที่ใช้กับเลนส์
  5. มีโรคเรื้อรังทางร่างกาย เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี โรคของต่อมไทรอยด์ที่มีตาโปน เพราะผู้ป่วย ในกลุ่มนี้มักจะมีตาแห้งไม่ค่อยกระพริบตา
  6. ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต มีความกังวล ขี้ระแวง
  7. ผู้ป่วยที่มีโรคข้อมือ มีมือสั่นจากโรคทางสมอง เช่น โรค Parkinson ทำให้จับต้องเลนส์สัมผัสไม่ได้ดี
  8. หญิงตั้งครรภ์และสตรีวัยทอง
  9. ผู้ที่ใช้ยาประจำบางตัว เช่น ยารักษาโรคกระเพาะ ผู้รับประทานยาคุมกำเนิด ผู้ใช้ยากลุ่มคลายเครียดประจำ ฯลฯ

สำหรับ CL สีก็คงคล้าย CL ทั่วไปแต่เพิ่มเม็ดสี เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวคงตอบสนองความต้องการในแง่ความสวยงาม แต่มีข้อเสียมากกว่า CL ธรรมดาหลายประการอาทิ เช่น

  1. ราคาแพงกว่า
  2. ด้วยเหตุที่มีเม็ดสีเข้าไปอยู่ในเนื้อ CL บริเวณที่เป็นสี ออกซิเจนจะไม่ซึมผ่านเข้าไปเลี้ยงกระจกตา อีกทั้งเม็ดสีเป็นสิ่งแปลกปลอม อาจทำให้เกิดโทษจากการแพ้เม็ดสีในคนบางคนได้
  3. ด้วยเหตุที่มีเม็ดสีปนอยู่ในเนื้อเลนส์ ผิวอาจไม่เรียบเป็นเนื้อเดียวกัน เชื่อว่าอาจมีเมือก โปรตีนที่มีอยู่ ในน้ำตาเข้าไปฝังตัวทำให้เลนส์เสียเร็วขึ้น และเลนส์สีจะมีความหนากว่าเลนส์ปกติ ทำให้ออกซิเจนซึมผ่านจากอากาศ น้ำตาไปเลี้ยงกระจกตาน้อยลง
  4. โดยเฉพาะรายที่เป็นสีเข้มๆ เพราะต้องการเปลี่ยนสีตาทำให้การดูแลรักษายากกว่าเลนส์ทั่วไป กล่าว คือหากมีสิ่งสกปรก ปนเปื้อน เช่น มีกลุ่มเมือกปนเชื้อโรคติดอยู่ ซึ่งจะเห็นได้ง่ายในเลนส์ธรรมดา ทำให้ผู้ใช้สามารถเช็ดถูออก หรือถ้าไม่ออกก็เลิกใช้คู่นั้นเพื่อความปลอดภัย หากเป็น CL สี มองไม่เห็นใช้ต่อไปทำให้เกิดตาอักเสบในเวลาต่อมาได้
  5. ในกระบวนการทำ CL สี ต้องเว้นบริเวณตรงกลางที่ตรงกับรูม่านตา เพื่อให้ผู้ใช้แลเห็นวัตถุ การเว้นขนาดตรงกลางอาจจะใหญ่ไปหรือเล็กไป สำหรับบางคนเนื่องจากเวลากระพริบตาหรือกลอกตาไปมามีการขยับของ CL อาจทำให้บริเวณที่เป็นสีมาบังตาทำให้มัวลงได้ เนื่องจากการเว้นขนาดบริเวณตรงกลางทำเป็นขนาดแน่นอนทั้งหมด แต่ขนาดรูม่านตาและการขยับของ CL เวลากระพริบตาไม่เท่ากันทุกคน

เมื่อตัดสินใจจะใช้เลนส์สัมผัสคู่แรกควรได้รับการตรวจตาเสียก่อนว่าไม่มีข้อห้ามในการใช้และประกอบ
จากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มิใช่ไปซื้อเอาตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ และเมื่อได้เลนส์มาแล้วควรปฏิบัติตนดังนี้
  1. ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ชนิดใด ล้วนต้องนำมาแปะไว้หน้าตาดำ ถือเป็นสิ่งแปลกปลอมที่อาจก่อให้เกิด ปฏิกิริยาหรือการอักเสบได้ ความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเลนส์สกปรกมีเชื้อโรคก็เท่ากับนำเชื้อโรคไปใส่ในตา ซึ่งในบางครั้งอาจไม่เกิดโทษร้ายแรง แต่สักวันหนึ่งถ้ากระจกตามีรอยถลอก เชื้อโรคก็จะเข้าไปในเนื้อกระจกตาทำให้กระจกตาอักเสบและเกิดโรคร้ายแรงตามมา
  2. ใช้เลนส์ให้ทุกประเภท เลนส์ที่มีอายุ 2 สัปดาห์ก็ควรใช้แค่ 2 สัปดาห์ไม่ควรใช้เกินกว่านั้น แม้เลนส์ที่ระบุว่าใส่นอนได้ก็ไม่ควรใส่นอน
  3. แม้เลนส์รุ่นใหม่ๆ จะออกแบบให้ออกซิเจนซึมผ่านได้ดีตามที่มีโฆษณากันอยู่ ตาที่ใส่เลนส์สัมผัสอยู่ จะได้รับออกซิเจนน้อยลงเสมอ ถ้าใส่เลนส์ไม่นานเกินไปก็จะเป็นการขาดออกซิเจนของตาดำที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายมากนัก จึงควรมีเวลาให้ตาได้พักหรือปลอดการใส่เลนส์ ขอแนะนำว่าแม้ท่านจะเลือกแก้ไขสายตาผิดปกติด้วยเลนส์สัมผัส ท่านก็ควรจะมีแว่นเป็นอะไหล่ไว้ใช้เวลาพักตาจากเลนส์สัมผัส
  4. ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ประกอบเลนส์อย่างเคร่งครัด
  5. การทำความสะอาดเลนส์ ต้องทำอย่างเคร่งครัดประกอบด้วยการทำความสะอาด ล้างฆ่าเชื้อและ การเก็บ (cleaning, rinsing, disinfecting and storage) หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเกลือซึ่งเทถ่ายจากขวดใหญ่ โดยคิดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากกระบวนการถ่ายเทน้ำเกลือ อาจทำให้เชื้อโรคปนเปื้อนได้ น้ำยาที่แช่เลนส์ต้องเททิ้งทุกครั้ง
  6. หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บตา ตาแดง ตาพร่ามัว ควรจะถอดเลนส์ออกและปรึกษาจักษุแพทย์
  7. พึงระลึกว่าการใช้เลนส์สัมผัสใช่ว่าจะปลอดภัย 100 % ขณะใส่เลนส์สัมผัสตาดำจะอยู่ในภาวะขาด ออกซิเจนบ้าง อาจมีโรคแทรกซ้อนหากใช้ไปนานๆ ผู้ใช้จึงควรรับการตรวจจากจักษุแพทย์เป็นระยะแม้ไม่มีอาการผิดปกติ
  8. ขอเตือนว่ามีผู้ใช้เลนส์สัมผัสไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดผลเสียหลายอย่าง เช่น เจ็บตา ตาแดง กระจก ตาเป็นแผล ซึ่งนอกจากทรมานจากการเจ็บปวด เสียเงิน เสียเวลาในการรักษา บางรายเป็นรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาเล็กน้อยไปจนถึงมากอย่างถาวร

12 ส.ค. 2552

[ข่าว] จักษุเตือน ใส่ "บิ๊กอาย" พร่ำเพรื่อ ถึงขั้นตาบอด

จักษุแพทย์เตือนการใส่คอนแทคเลนส์พร่ำเพรื่อ ไม่ถูกต้อง เสี่ยงต่อภาวะแพ้คอนแทคเลนส์ บางรายรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้

หลังจากสำรวจย่านสยามสแควร์ที่วัยรุ่นนิยมออกมาท่องเที่ยววันหยุด หรือเรียนพิเศษ หากจอ้งไปที่ดวงตาของเด็กๆเหล่านี้ใน 10 คนจะพบ 1 คนที่มีดวงตาสดใสกลมโตกว่าปกติ จากคอนแทคเลนส์ขอบสีกว้าง ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "บิ๊กอาย" ทำให้ความสวยเด่นของดวงตาชนะความตระหนักถึงอันตรายในความคิดของเด็กๆ

สำหรับข้อแนะนำขั้นต้น คือ ต้องให้แพทย์เลือกคอนแทคเลนส์ให้ในครั้งแรกเพื่อให้พอดีกับดวงตา กล่องใส่ต้องขัดล้างให้สะอาด และเปลี่ยนน้ำยาใหม่ทุกครั้งในการทำความสะอาดและแช่คอนแทคเลนส์ และที่สำคัญไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์เกินวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อดูแลดวงตาไม่ให้ขาดออกซิเจนจนเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

ข้อมูลจาก : กรมสุขอนามัย

12 ก.ย. 2551

[ข่าว] อย. คุม "บิ๊กอายส์" ต้องแพทย์สั่งให้ใช้ เร่งสุ่มตรวจหากพบผลิต-จำหน่าย โทษทั้งจำ-ปรับ

อย.จ่อประกาศคุมคอนแท็กต์เลนส์เป็นเครื่องมือแพทย์ เตรียมจัดทำร่างประกาศ เพิ่มความปลอด ภัยแก่ผู้บริโภคในการใช้ทุกประเภท โดยเฉพาะพวก "บิ๊กอายส์" ชี้อายไลเนอร์ผสมน้ำมันเครื่องอันตราย เสี่ยงเกิดมะเร็ง เร่งส่งเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจทั่วประเทศ หากพบผสมสารต้องห้ามฟันทั้งผู้ผลิต-ผู้จำหน่าย ระบุโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท

เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. น.พ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขา ธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันมีกระแสแฟชั่นใส่คอนแท็กต์เลนส์ หรือเลนส์สัมผัส เพื่อความสวยงามที่ทำให้มองเห็นตา กลมโตตามแบบดาราเกาหลีหรือญี่ปุ่นได้ระบาดเข้ามาสู่วัยรุ่นไทยโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นหญิง โดยเลนส์สัมผัสประเภทนี้เหมือนกับเลนส์สัมผัสแฟชั่นที่มีหลายสีให้เลือก แต่บริเวณตรงกลางมีลักษณะเป็นเลนส์ใสและบริเวณขอบเลนส์มีสีดำหรือสีเข้มต่างๆ ที่จะทำให้มองเห็นว่าผู้ใส่มีตาดำขยายใหญ่และกลมโตกว่าปกติ ซึ่งการใส่เลนส์สัมผัสอย่างไม่ถูกวิธีนั้นอาจมีการแพ้ ติดเชื้อ กระจกตาเป็นแผล อาจทำให้ตาบอดได้

12 ก.ค. 2551

[ข่าว] เตือนวัยรุ่นใส่บิ๊กอายระวังติดเชื้อตาบอดใน 2 วัน!!

หมอออกโรงเตือนวัยรุ่นแห่ตามแฟชั่นเกาหลีใส่ “บิ๊ก อายส์” หากสกปรกอาจทำให้ดวงตาติดเชื้อ ลุกลามถึงขั้นตาบอดได้ภายใน 2 วัน

นพ.ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงแฟชั่นเกาหลีที่วัยรุ่นนิยมใส่คอนแทกต์เลนส์ตาโต หรือบิ๊กอายส์ ที่มีหลายสี หลายขนาด เพื่อเพิ่มขนาดดวงตา ทำให้ตาหวาน ว่า เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในดวงตา ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญที่บอบบางที่สุด หากเกิดปัญหาขึ้นกับดวงตาและไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง อาจถึงขั้นตาบอดได้ จึงอยากให้วัยรุ่นตามกระแสแฟชั่น อย่างมีสติ รู้จักระมัดระวัง และชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียที่จะตามมาด้วย

8 เม.ย. 2551

[ข่าว] สธ.ประกาศคุมเข้มคอนแทคเลนส์-ป้องดวงตาผู้ใช้ได้รับอันตราย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 พฤษาภคม 2552 เพื่อควบคุมการผลิตและนำเข้า เลนส์สัมผัสหรือคอนแทคเลนส์ให้เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องได้รับใบอนุญาตและ มีคุณภาพมาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดเพื่อประโยชน์ในการ คุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคในการใช้คอนแทคเลนส์สัมผัสทุกประเภทและ เพื่อเป็นการป้องกันการนำเลนส์ไปใช้ในทางที่ผิด

สาระสำคัญของประกาศมีดังนี้
1.ให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าเลนส์สัมผัสจัดให้มีฉลากเลนส์สัมผัสที่ขาย หรือมีไว้เพื่อขายแสดงข้อความไว้บนภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุอย่างชัดเจน เป็นข้อความภาษาไทย และจะมีภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยด้วยก็ได้ แต่ข้อความภาษาอื่นต้องมีความหมายตรงกับข้อความภาษาไทยโดยอย่างน้อยแสดงราย ละเอียดดังต่อไปนี้
 
(1) ชื่อ ประเภท และชนิดของเลนส์สัมผัส
(2) ชื่อ และสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า แล้วแต่กรณี ในกรณีเป็นผู้นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมืองและประเทศผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์นั้นด้วย
(3) จำนวนเลนส์สัมผัสที่บรรจุ
(4) เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต
(5) เดือน ปีที่หมดอายุ
(6) เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์
(7) ประโยชน์ วิธีการใช้ และวิธีการเก็บรักษา
(8) คำแนะนำ ต้องแสดงข้อความว่า “การใช้เลนส์สัมผัสควรได้รับการสั่งใช้และตรวจติดตามทุกปีโดยจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์เท่านั้น” แสดงด้วยอักษรสีแดงที่เห็นได้ชัดเจน ขนาดความสูงตัวอักษรไม่น้อยกว่า ๒ มิลลิเมตร
(9) ระยะเวลาในการใช้งาน สำหรับเลนส์สัมผัสที่มีกำหนดระยะเวลาการใช้งาน แสดงด้วยอักษรขนาดที่เห็นได้ชัดเจน ขนาดความสูงตัวอักษรไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร
(10) คำเตือน ต้องแสดงข้อความอย่างน้อยว่า การใช้เลนส์สัมผัสโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้

(11) ข้อห้ามใช้ ต้องแสดงข้อความอย่างน้อย ดังนี้
(ก) ห้ามใส่เลนส์สัมผัสนานเกินระยะเวลาใช้งานที่กำหนด
(ข) ห้ามใช้เลนส์สัมผัสร่วมกับบุคคลอื่น
(ค) ห้ามใส่เลนส์สัมผัสทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้จะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน

(12) ข้อควรระวังในการใช้ ต้องแสดงข้อความอย่างน้อยดังนี้
(ก) ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง กระพริบตาไม่เต็มที่ ไม่ควรใช้เลนส์สัมผัส
(ข) ควรใช้น้ำยาล้างเลนส์สัมผัสที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับเลนส์สัมผัสทุกครั้งที่แช่เลนส์สัมผัส และแม้ไม่ใส่เลนส์สัมผัส ควรเปลี่ยนน้ำยาใหม่ในตลับทุกวัน
(ค) ควรเปลี่ยนตลับใส่เลนส์สัมผัสทุกสามเดือน
(ง) ข้อความ “ไม่ควรใส่เลนส์สัมผัสขณะว่ายน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้”หรือ “ห้ามใส่เลนส์สัมผัสขณะว่ายน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้” แล้วแต่กรณี ตามที่ผู้ผลิตกำหนด
(จ) ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสเลนส์
(ฉ) หากเกิดอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมากร่วมกับอาการแพ้แสงตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้เลนส์สัมผัสทันที และรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว

2.ให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าเลนส์สัมผัสต้องจัดให้มีเอกสารกำกับเครื่อง มือแพทย์ของเลนส์สัมผัสที่ขายหรือมีไว้เพื่อขายเป็นข้อความภาษาไทย และจะมีภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยก็ได้ แต่ข้อความภาษาอื่นต้องมีความหมายตรงกับข้อความภาษาไทย
3.ให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าเลนส์สัมผัส จัดทำรายงานการขายเลนส์สัมผัสตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด

ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ประกาศ ณ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552)



เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมอาหารและยาสั่งคุมเข้มสินค้าประเภทนี้มากขึ้น เพราะหากนำมาใช้อย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้ ดังนั้นทางอย. จึงเห็นควรกำหนดให้มีการควบคุมเลนส์สัมผัสทุกประเภทเป็นเครื่องมือแพทย์ควบคุมอย่างเข้มงวดขึ้น

ซึ่งในการโฆษณา"บิ๊กอาย-คอนแทคเลนส์" ถือเป็นสินค้าที่อยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ ดังนั้นการโฆษณานั้นต้องมีเลขที่ใบอนุญาตโฆษณาเครื่องมือแพทย์ ถึงจะสามารถทำการโฆษณาได้ ฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบใบอนุญาต และรายละเอียดของร้านค้าให้ดีเสียก่อน

ข้อมูลจาก : http://www.matichon.co.th/

5 เม.ย. 2551

[ข่าว] "บิ๊กอายส์" เทรนด์ใหม่วัยรุ่น ใส่แล้วเหมือนดาราญี่ปุ่น

เรื่องราวคอนแทคเลนส์ตาโต หรือบิ๊กอายส์ ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากผู้ปกครองท่านหนึ่ง ซึ่งได้สังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกสาววัย 17 ปี ที่ชอบใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นใหม่ ที่นอกจากจะเป็นคอนแทคเลนส์สีแฟชั่น ยังมีส่วนช่วยให้ดวงตากลมโตโดยไม่ต้องทำศัลยกรรม ซึ่งเป็นเทรนด์แฟชั่นใหม่ตามแบบเทรนด์ดาราเกาหลีและญี่ปุ่น

ผู้ปกครองรายเดิมกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เริ่มสังเกตพฤติกรรมของบุตรสาวมาระยะหนึ่ง หลังจากสังเกตเห็นดวงตาของลูกสาวที่ดูโตขึ้นมา เมื่อไต่ถามจึงทราบจากบุตรสาวว่า คอนแทคเลนส์ตาโตเป็นแฟชั่นตามสมัยนิยมของกลุ่มวัยรุ่นไทย โดยเฉพาะผู้หญิงกำลังเป็นที่นิยมซื้อหามาสวมใส่ โดยมีราคา 1 คู่ ประมาณเงินหลักพันบาท ส่วนแหล่งซื้อหานอกจากคอนแทคเลนส์ตาโตจะหาซื้อตามร้านเฉพาะ ความนิยมยังส่งผลให้มีการขายผ่านทางเว็บไซต์เลนส์ทูยู ดอทคอม, ร้านค้าออนไลน์ทั่วไป รวมถึงมีการจำหน่ายตามแผงเช่าแหล่งแฟชั่นย่านสยามสแควร์, มาบุญครอง และลาดพร้าว ซึ่งจะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่วัยรุ่น

4 เม.ย. 2551

[ข่าว] เตือนวัยรุ่นฮิตใส่ "บิ๊กอายส์" ระวัง! เสี่ยงตาบอด

แฟชั่นสุดฮิต.. ในกลุ่มวัยรุ่น ที่นิยมใส่คอนแท็กต์เลนส์ "บิ๊ก อายส์" ทำให้ ดูตากลมโต ตามแฟชั่นดารานักร้องเกาหลี เสี่ยงเกิดอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ แล้วหากนำมาแลกเปลี่ยนกันใส่ ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ได้อีกด้วย ก่อนใส่จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตา อย่าซื้อใส่เองโดยพลการ อาจเกิดอันตรายกับดวงตาของเราได้

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. น.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนสติวัยรุ่นไทย
ที่ปัจจุบันชอบเลียนแบบดารานักร้องจากเกาหลี ทั้งกิริยาท่าทาง การแต่งหน้า แต่งตัว การทำทรงผม โดยล่าสุดพบว่าวัยรุ่นไทยกำลังนิยมใส่คอนแท็กต์เลนส์ตาโต หรือ "บิ๊ก อายส์" ที่มีหลายสี หลายขนาด และหลายรูปแบบ เพื่อให้ดวงตาดูกลมโตขึ้นกว่าปกติ โดยสามารถเปลี่ยนสีได้ตามใจชอบ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะการทำสิ่งใดกับดวงตาถือเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย เนื่องจากดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญและบอบบางที่สุด หากเกิดปัญหากับดวงตาและไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องก็อาจส่งผลให้ตาบอดได้ จึงอยากให้วัยรุ่นตามกระแสแฟชั่นอย่างมีสติ รู้จักระมัดระวังและชั่งน้ำหนักถึงผลดีและผลเสียที่จะตามมาด้วย


ด้าน น.พ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวว่า คอนแท็กต์เลนส์ถือเป็นวัสดุทางการแพทย์ ที่เป็นทางเลือกสำหรับบุคคลที่มีปัญหาทางด้านสายตา แต่ไม่สามารถใส่แว่นได้ การตัดสินใจใส่คอนแท็กต์เลนส์จึงควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตาโดย เฉพาะ ส่วนคอนแท็กต์เลนส์ที่ใช้เพื่อวัตถุ ประสงค์อื่น อาทิ เปลี่ยนสีตา ขยายขนาดของตาดำ มักจะใช้ในกลุ่มผู้ที่ต้องอาศัยรูปร่างหน้าตาในการประกอบอาชีพ อาทิ ดารา นักร้องและนางแบบ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคอนแท็กต์เลนส์ชนิดใดก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดคือการระมัดระวัง เรื่องความสะอาด เนื่องจากคอนแท็กต์เลนส์ต้องสัมผัสกับกระจกตาโดยตรงและเป็นระยะเวลานาน หากคอนแท็กต์เลนส์สกปรกอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาและอาจลุกลามถึง ขั้นตาบอดได้ภายใน 2 วัน

น.พ.ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อว่า การใช้คอนแท็กต์เลนส์ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลรักษาคอน แท็กต์เลนส์อย่างเคร่งครัด สำหรับคอนแท็กต์เลนส์ควรเก็บรักษาไว้ในน้ำยาแช่คอนแท็กต์เลนส์โดยเฉพาะและ ปิดฝาให้สนิท อีกทั้งควรเปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกครั้งที่ใช้และไม่ควรใช้น้ำยาแช่เลนส์ ซ้ำๆ ห้ามล้างคอนแท็กต์เลนส์ด้วยน้ำประปา เนื่องจากสารคลอรีนที่อยู่ในน้ำประปาอาจกัดกร่อนเลนส์ทำให้เลนส์เสื่อม คุณภาพ ขุ่นมัวหรืออาจมีสิ่งเจือปนทำให้เลนส์สกปรกได้ นอกจากนี้ผู้ที่ใช้คอนแท็กต์เลนส์ควรล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสทุกครั้ง

"วัยรุ่นที่นิยมใส่คอนแท็กต์เลนส์ตามแฟชั่น ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยให้มากๆ เพราะนอกจากเสี่ยงต่อตาบอดแล้ว ยังพบว่ามีวัยรุ่นบางกลุ่มแยกกันซื้อคอนแท็กต์เลนส์คนละแบบแล้วนำมาแลก เปลี่ยนกันใส่ ซึ่งสามารถทำให้ติดเชื้อเอดส์ได้" น.พ.ฐาปนวงศ์กล่าว

ด้าน ตัวแทนพนักงานขายร้านโชคดีการแว่น คอนแท็กต์เลนส์ ที่เดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วาน กล่าวว่า ที่ร้านมีบิ๊กอายส์หลากหลายรุ่น หลายสีให้ลูกค้าเลือก แบ่งเป็นรายวัน ราย 2 สัปดาห์ และรายเดือน บิ๊กอายส์จะมีทั้งแบบสายตาปกติและสายตาสั้น ราคาจะอยู่ที่ 450-550 บาท อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาซื้อจะเป็นวัยรุ่นทั้งชายและหญิง แม้กระทั่งหนุ่มสาววัยทำงานก็มาเลือกซื้อเช่นกัน สำหรับข้อแนะนำ วิธีการใช้นั้นจะมีอยู่ในกล่องผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว โดยผู้ใช้จะต้องถอดออกมาแช่น้ำยาวันต่อวัน ห้ามใส่นอน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้

"ความจริงแล้วการใส่บิ๊กอายส์จะอันตรายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ถ้าผู้ใช้ทำตามคำแนะนำจะไม่เกิดปัญหา ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีลูกค้าคนใดเกิดการระคายเคืองตา หรือเกิดการติดเชื้อแต่อย่างใด"

ขณะที่ร้านเพอร์เฟค อายแวร์ กล่าวว่า ที่ร้านจะมีบิ๊กอายส์ให้เลือกหลายยี่ห้อ มีทั้งสายตาปกติและสายตาสั้น การใส่บิ๊กอายส์นั้นจะทำให้ตาโตขึ้น สดใสขึ้น ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาซื้อจะเป็นวัยรุ่นทั้งชายและหญิง รวมทั้งหนุ่มสาววัยทำงานก็มาเลือกซื้อเช่นกัน นอกจากนี้สำหรับข้อแนะนำ วิธีการใช้นั้นจะมีอยู่ในกล่องผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว ผู้ที่ใช้จะต้องถอดออกมาแช่น้ำยาวันต่อวันห้ามใส่นอน เพราะหากใส่นอนจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้

16 ธ.ค. 2550

[ข่าว] อย.ฟัน “บิ๊กอาย” เป็นเครื่องมือแพทย์ ออกประกาศควบคุมนำเข้า-จำหน่าย ต้องขออนุญาต

นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ จะเสนอร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องเลนส์สัมผัส เพื่อเพิ่มมาตรการในการควบคุมการผลิตหรือนำเข้าเลนส์สัมผัส ต่อคณะกรรมการเครื่องมือแพทย์

ซึ่งประกาศฉบับนี้จะครอบคลุมคอนแทคเลนส์แฟชั่น หรือบิ๊กอายส์ โดยกำหนดให้เป็นเครื่องมือแพทย์เช่นเดียวกับคอนแทคเลนส์สายตาตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551 ที่จะต้องมีการควบคุมการนำเข้า การจำหน่าย และต้องขออนุญาตการนำเข้า ซึ่งหลังจากที่ประชุมลงมติร่วมกันในการออกประกาศฉบับนี้แล้ว จึงจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาลงนามต่อไป ช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายครอบคลุมจะส่งเจ้าหน้าที่ อย.ลงพื้นที่ตักเตือนร้านที่เป็นสถานที่จำหน่ายคอนแทคเลนส์แฟชั่น รวมทั้งให้ความรู้วัยรุ่นและประชาชนว่าหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ประเภทนี้ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายกับดวงตา

นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวว่า อย.ควรรีบดำเนินการให้คอนแทคเลนส์บิ๊กอายส์ ขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องมือโดยเร็วที่สุด เนื่องจากจะได้มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐาน เพราะถือว่าเมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน (16-12-2551)

Loading

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More