แฟชั่น บิ๊กอาย

บิ๊กอาย กับ แฟชั่นในปัจจุบัน

เลนส์ตาโต เป็นคอนแทคเลนส์ชนิดตาโต หรือที่วัยรุ่นเรียกกันว่า “บิ๊กอาย”จะเหมือนกับคอนแทคเลนส์แฟชั่นสมัยก่อนที่มีสีสันให้เลือกมากมาย แต่ที่แตกต่างคือ เลนส์สีบริเวณตรงกลางดวงตาจะเป็นเลนส์ใสปกติแต่บริเวณขอบเลนส์จะมีสีดำ ทำให้ขอบตาคุณดูชัดมากขึ้น มีราคาตั้งแต่ 450 – 2,000 บาท

ใส่บิ๊กอายตาติดเชื้อ

บิ๊กอายทำตาบอด ติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์เตือนวัยโจ๋

แพทย์เตือนอันตรายจากคอนแทกท์เลนส์ "บิ๊กอาย" หลังมีผู้ป่วยติดเชื้อสูโดโมแนสที่ตา ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาตัวแล้ว 4 ราย จักษุแพทย์ ระบุ เป็นแบคทีเรียร้ายแรงลามกินตาดำได้ภายใน 2 วัน รักษาไม่ทันถึงขั้นตาบอด ผู้ป่วยรับหาซื้อง่ายแม้กระทั่งตามตลาดนัด จี้ภาครัฐออกมาเข้มงวด เพราะจัดอยู่ในกลุ่ม เครื่องมือแพทย์ ต้องได้รับอนุญาตจาก อย.

เลดี้ กาก้า Lady Gaga ใส่บิ๊กอาย

เลดี้กาก้า นำเทรนบิ๊กอาย อเมริกาเตือน Big Eye เป็นอันตราย ผิดกฏหมายในอเมริกา

นับตั้งแต่กระแสความโด่งดังของ Music Video "Bad Romance" ของนักร้องสาวชาวอังกฤษ Lady Gaga ทำให้วัยรุ่นอเมริกันเริ่มนิยมใส่ Contact Lenses ที่เรียกว่า "Big Eye" กันเป็นจำนวนมาก จนหลายฝ่ายต้องออกมาเตือนในการใช้และการเลือกซื้อ เพราะวัยรุ่นจำนวนมากนิยมสั่งซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต จากร้านค้าออนไลน์ในแถบเอเชีย...

บิ๊กอาย คอนแทคเลนส์ปลอม

อันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์แฟชั่น "บิ๊กอาย"

กระแสคอนแทคเลนส์แฟชั่นได้แพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี 2549 ที่ผ่านมา โดยวัยรุ่นไทยนิยมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อให้ตา กลมโตเลียนแบบดาราเกาหลี และญี่ปุ่น คอนแทคเลนส์แฟชั่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีในนาม บิ๊กอายส์ หรือ คอนแทคเลนส์ตาโต ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี

22 ก.ค. 2553

เรื่องน่ารู้ : คอนแทคเลนส์เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไร ?

ปัจจุบันมีประชากรกว่า 2% จากทั่วโลกที่ใส่คอนแทคเลนส์ หรือคิดเป็นประมาณ 125 ล้านคน (ที่อเมริกา 28-38 ล้านคน และที่ญี่ปุ่น 13 ล้านคน ฯลฯ) โดยเหตุผลที่ใส่ใส่คอนแทคเลนส์ก็มีหลายเหตุผล และหนึ่งในนั้นคือ เพื่อความคล่องตัว เพราะการใส่คอนแทคเลนส์จะทำให้คล่องตัวมากกว่าการสวมแว่นตา เช่น เล่นกีฬา ฯลฯ อีกทั้งในประเทศที่อากาศหนาว คอนแทคเลนส์มีผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับการใส่แว่นตา และคอนแทคเลนส์ยังสามารถมองได้ในมุมที่กว้าง เพราะไม่มีกรอบมาจำกัดเหมือนแว่นตา

ที่มาของเจ้าเลนส์จิ๋วมหัศจรรย์ มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ?

ในปี 1887 Adolf Fick ได้ผลิตคอนแทคเลนส์สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยมันถูกทำมาจากกระจกสีน้ำตาล ซึ่งเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับดวงตาส่วนคลอเนียมาจากหนังสือ Codex of the eye, Manual D เขียนโดย Leonardo da Vinci

ความรู้เกี่ยวกับกระจกที่ของเหลวสามารถซึมเข้าไปได้และไปติดอยู่ที่คลอเนียได้ René Descartes ใช้กระจกใส แต่ความคิดนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ Thomas Young ก็ได้ทำการทดลองคล้ายๆกันนี้ในปี 1801

ต่อมา Sir John Herschel ได้เสนอความคิดออกมา 2 แบบ คือเรื่องเกี่ยวรูปร่างของคอนแทคเลนส์ ซึ่งควรมีลักษณะเป็นวงกลม และความคิดที่สองคือควรมีลักษณะเหมือนเจล โปร่งใสในระดับปานกลาง ซึ่งแนวความคิดทั้งสองนี้ทำให้ในปี 1929 Hungarian Dr. Dallos สามารถหาวิธีที่ดีที่สุดในการผลิตคอนแทคเลนส์ ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่สามารถผลิตคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสำหรับใช้กับดวงตาได้

ปี 1930 ได้มีการนำ polymethyl methacrylate (PMMA หรือ Perspex/Plexiglas) มาใช้ผลิตคอนแทคเลนส์ และมีการพัฒนาต่อมาโดย William Feinbloom ได้ผลิตคอนแทคเลนส์ ด้วยการใช้พลาสติกผสมกับแก้ว ข้อเสียสำคัญของ polymethyl methacrylate คือ ออกซิเจนไม่สามารถผ่านได้ เลนส์ชนิดนี้จะเป็นเลนส์แบบแข็ง ส่วนเลนส์แบบนุ่มถูกสร้างโดย Otto Wichterle ซึ่งสร้างมาจาก เจล ในปี 1959 และในปี 1999 ได้นำ silicone hydrogels มาผลิตทำคอนแทคเลนส์ เพราะเลนส์ชนิดนี้ออกซิเจนสามารถผ่านได้และใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้

วิธีเลือกน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ เพิ่มความปลอดภัยให้ดวงตา

ปัจจุบันนี้ น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ชนิดใดก็ควรเลือกด้วยความระมัดระวังและเลือกให้เหมาะกับลักษณะการใช้งาน


เลือกใช้แบบล้าง แช่ และกำจัดคราบโปรตีนในขวดเดียว น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์แบบนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเวลาเข้าตา สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีพอสมควร ปัญหาที่เกิดมักเกิดจากการที่น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ประเภทนี้ล้างทำคราบโปรตีนติดแน่นได้ไม่ค่อยดีนัก ปัจจุบันมักมีการโฆษณาว่าน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ประเภทนี้ไม่ต้องถูเลนส์ก็ล้างได้ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การถูเลนส์ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ เพื่อให้น้ำยาประเภทนี้ใช้งานได้ดี เพียงแต่ต้องค่อยๆถูเบาๆ

ข้อเสีย คือ น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ประเภทนี้มักจะเหลือคราบสกปรกไว้ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ผู้ใช้เกิดการแพ้สารกันเชื้อโรคในน้ำยานั้น น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ประเภทนี้ใช้ได้ดีที่สุดกับคอนแทคประเภทใส่แล้วทิ้ง

เลือกใช้แบบล้าง แช่ และกำจัดคราบโปรตีนแยกขวดกัน น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์พวกนี้ส่วนมากจะล้างได้ดีกว่า สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีถึงดีมาก มักมียาเม็ดที่ให้แช่ไว้สำหรับล้างคราบโปรตีนทุกๆ เดือน ปกติแล้วน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ชนิดนี้ใช้ได้ดีกับเลนส์ที่ใส่ประจำ เพราะล้างคราบโปรตีนได้ดี

ข้อเสีย คือ อาจมีอาการแพ้จากสารประกอบในน้ำยาได้ไม่ค่อยสะดวก แล้วถ้าล้างน้ำยาล้างออกไม่หมดก็จะทำให้ตาเจ็บ ตาแดง และอาจต้องไปพบแพทย์อีกด้วย

เลือกใช้แบบ Hydrogen Peroxide กลุ่มน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ในรูปแบบนี้มักแยกเป็น 2 ขวด ขวดแรกเป็นน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ก่อนฆ่าเชื้อ ขวดที่สองใช้ใส่ในขวดพิเศษพร้อมกับเลนส์ ส่วนมากอันนี้ต้องแช่ไว้ค้างคืน น้ำยาประเภทนี้ฆ่าเชื้อได้ดีมาก ใช้ได้กับคอนแทคเลนส์เกือบทุกชนิด แต่ไม่ค่อยสะดวกเพราะใช้เวลานานในขั้นตอนต่างๆ และเมื่อแช่คอนแทคเลนส์แล้วเอามาใช้ทันทีไม่ได้ จำเป็นต้องแช่ให้ครบกำหนดเวลา ถ้านำคอนแทคเลนส์ออกมาใส่ก่อนครบกำหนดเวลาก็อาจทำให้ตาเจ็บ ตาแดง ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที

โปรดจำให้ขึ้นใจว่า ควรให้ความสำคัญกับการเลือกน้ำยาล้างคอนเทคเลนส์ ให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานคอนเทคเลนส์ของเราด้วย เพื่อที่ดวงตาของจะได้สวยใสและปลอดภัยไปอีกนาน

16 ก.ค. 2553

4 วิธีใส่คอนแทคเลนส์แบบง่ายๆ

1. เล็บนิ้วชี้และนิ้วโป้งของมือข้างที่ถนัดควรจะตัดสั้นเรียบร้อย เพราะเราต้องใช้ในการใส่คอนแทคเลนส์ถอดคอนแทคเลนส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาถอด ถ้าเล็บยาวตาจะบอดเพราะเล็บตัวคุณเองนั่นแหละค่ะ

2. เริ่มจากการใช้ปลายนิ้วหยิบคอนแทคมาวางบนมืออีกข้าง แล้วหยดน้ำยาคอนแทคเลนส์ลงบนเลนส์ แล้วใช้นิ้วชี้ถูคอนแทคเป็นแนวเส้นตรงกลับไปมา

3. วางคอนแทคเลนส์บนปลายนิ้วชี้ข้างที่ถนัด ใช้มืออีกข้างเปิดเปลือกตาไว้ แล้วเอาคอนแทคเลนส์แตะลงไปบนตา หลับตาแล้วใช้นิ้วมือนวดเปลือกตาเบาๆ เพื่อให้คอนแทคเลนส์เข้าที่

4. ถ้าใส่แล้วเกิดอาการเคือง ถ้าเคืองเกิน 5-10 วิ คิดว่ามันไม่ปกติ ถอดออกมาล้างแล้วใส่ใหม่นะคะ อย่าทนเพราะดวงตาอาจจะบาดเจ็บได้

อันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์แฟชั่น "บิ๊กอาย"




อันตรายจากการใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่น
อันตรายจากการใช้คอนแทคเลนส์แฟชั่น "บิ๊กอาย"
  

คอนแทคเลนส์” หรือ “เลนส์สัมผัส” จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่งที่ใช้เพื่อปรับสายตา แต่ในปัจจุบันได้มีการนำเอาคอนแทคเลนส์มาใช้สวมใส่เพื่อความสวยงาม ซึ่งมีทั้งแบบที่ทำให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น และแบบที่ช่วยเปลี่ยนสีตาเป็นสีต่าง ๆ ได้

กระแสคอนแทคเลนส์แฟชั่นได้แพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี 2549 ที่ผ่านมา โดยวัยรุ่นไทยนิยมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อให้ตา กลมโตเลียนแบบดาราเกาหลี และญี่ปุ่น คอนแทคเลนส์แฟชั่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีในนาม บิ๊กอายส์ หรือ คอนแทคเลนส์ตาโต ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี

ปัจจุบันคอนแทคเลนส์แฟชั่นไม่ได้มีวางจำหน่ายแต่เฉพาะในร้านแว่นตา หรือคลินิกจักษุแพทย์เท่านั้น แต่ยังมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อคอนแทคเลนส์แฟชั่นมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะใช้คอนแทคเลนส์เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เลนส์ที่ใช้จะต้องสัมผัสกับผิวของดวงตาที่บอบบาง การติดเชื้อหรือฉีกขาดอาจเกิดได้ง่าย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้คอนแทคเลนส์หากใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ และอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้ เหมือนกับข่าวเมื่อปลายปี 49 ที่ผ่านมา ที่มีชายชาวนิวซีแลนด์ที่ตาบอดจากการสวมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อความสนุกสนานในงานปาร์ตี้ จนเกิดการติดเชื้อหลังสวมใส่คอนแทคเลนส์นาน 3 วัน ทั้งนี้การใส่คอนแทคเลนส์จะต้องได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์ โดยผู้สวมใส่จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ หรือนักทัศนมาตรศาสตร์ หรือคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จัดทำมาตรการกำกับดูแลคอนแทคเลนส์ทุกประเภทให้เข้มงวดมากขึ้น โดยได้จัดทำร่างประกาศกำหนดให้คอนแทคเลนส์ทุกประเภท เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า จะต้องแจ้งรายละเอียดต่ออย.ก่อนผลิตหรือนำเข้า อีกทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตหรือนำเข้าต้องจำหน่ายคอนแทคเลนส์ให้กับสถานที่ที่กำหนดเท่านั้น เช่น สถานพยาบาล ผู้บริโภคไม่ควรซื้อคอนแทคเลนส์ที่จำหน่ายตามแผงลอย เพราะอาจเป็นอันตรายถึงตาบอดได้

นอกจากนี้ อย. ยังได้กำหนดให้ฉลากของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะต้องมีคำเตือน ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวังต่าง ๆ บนฉลากอย่างชัดเจน นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า “ประชาชนควรระมัดระวังการใช้คอนแทคเลนส์ทุกชนิด โดยไม่ควรซื้อมาใช้เอง และซื้อจากร้านที่เป็นแผงลอย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด และหากมีภาวะผิดปกติ เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง กะพริบตาไม่เต็มที่ ก็ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์

สิ่งที่สำคัญที่ต้องระลึกถึงอยู่เสมอคือเรื่องสุขลักษณะ ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และห้ามใส่เวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...

การใช้คอนแทคเลนส์ เพื่อสุขภาพตาที่ดี

1. คอนแทคเลนส์สี ตาโต  หรือตาหวาน (Bigeye) ส่วนใหญ่จะหนากว่าคอนแทคเลนส์ใสธรรมดา ทำให้มีโอกาสเคืองตามากกว่า

2. โดยส่วนใหญ่แล้วคอนแทคเลนส์มักจะทนพอสมควร การขยี้ตาแล้วขาดนั้น ถ้านานๆ เป็นสักครั้งอาจไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ เราแนะนำว่าควรถอดคอนแทคเลนส์ก่อนขยี้ตา หรืออาจพยายามลดแรงให้เป็นลักษณะของการคลึงเปลือกตาให้น้ำตาไหลออกมาจะดีกว่า เนื่องจากคอนแทคเลนส์ที่ขาดบางส่วน(แหว่ง) หรือคอนแทคเลนส์ที่ขาดครึ่งจะเกิดส่วนคมขึ้นและอาจเป็นอันตรายกับดวงตาได้


3. ตาแห้ง กับเคืองตา ก็เช่นกัน วันหนึ่งเป็นเล็กน้อยสัก 2-3 ครั้ง ก็ไม่ถือว่าผิดปรกติ แต่ถ้าเป็นบ่อยๆ เช่นต้องหยอดตาวันละหลายๆ ครั้ง หรือเกิดอาการตาอักเสบอยู่เป็นประจำ แนะนำว่าบางครั้งอาจเกิดจากน้ำตาของเราไม่เพียงพอ จึงทำให้ตาแห้ง และเคืองบ่อยๆ เพื่อความสบายใจ แนะนำให้ไปที่คลีนิคหรือโรงพยาบาล เพื่อเช็คให้ละเอียดว่าตาของคุณเหมาะสมกับการใช้คอนแทคเลนส์หรือไม่ เพราะบางคนมีปัญหาน้ำตาน้อยทำให้ไม่เหมาะกับการใช้คอนแทคเลนส์ การใช้แว่นจะเหมาะสมกว่า

4. การใส่นานนั้น ปรกติแล้วคอนแทคเลนส์ มีระยะที่แนะนำให้ใช้งานอยู่ในช่วง 12 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าใช้เกินกว่านี้ ในบางคนจะมีปัญหาเรื่องเคืองตา หรือตาแห้ง ถ้าเป็นบ่อยในชั่วโมงหลังๆ เช่นหลังใส่ไปแล้ว 8-10 ชั่วโมง เราแนะนำให้ถอดคอนแทคเลนส์ออก แล้วใส่แว่นแทนจะดีกับดวงตามากกว่า แต่ถ้าในช่วงระหว่าง 12 ชั่วโมงแรก มีอาการตาแห้ง และไม่สบายใจเรื่องความสะอาดของน้ำตาเทียม ขอแนะนำให้ใช้แบบใช้แล้วทิ้ง เช่นของ TEARS NATURALE FREE [32 RECLOSABLE VIALS] (เทียส์ แนทูราล ฟรี (32 หลอด)) ของ Alcon หรือ Cellufresh [30 Sterile Single-Use Containers] 0.4 mL each ของ Allergan (นำเข้าโดยบริษัท Maxim) ซึ่งเป็นน้ำตาเทียมแบบหลอดเล็กๆแกะใช้เมื่อตาแห้ง เก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 วันหลังแกะใช้

5. คอนแทคเลนส์ยี่ห้อเดิม ถ้าใส่ดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยี่ห้อค่ะ นอกจากอาจลองเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างเช่นตาแห้งง่าย (แนะนำให้ทดลองใช้พวกซิลิโคนไฮโดรเจล เช่น O2 Optix หรือ Acuvue Advance) ซึ่งยอมรับว่าอาจเกิดปัญหาอื่นแทน อันนี้ก็แล้วแต่การตัดสินใจของผู้ใช้แต่ละท่านค่ะ

6. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นอนโดยเด็ดขาด เนื่องจากโดยปรกติแล้วดวงตาจะได้รับออกซิเจนผ่านทางน้ำตา การใส่คอนแทคเลนส์นอนจะทำให้กีดขวางการไหลเวียนของน้ำตาภายในดวงตา จึงทำให้บริเวณกระจกตาได้รับออกซิเจนน้อยลง จึงส่งผลให้ดวงตาขาดออกซิเจนได้ (ในรายที่เป็นมาก อาจเกิดเส้นเลือดขึ้นภายในกระจกตาได้)

7. ควรล้างคอนแทคเลนส์ทุกวัน และควรถูคอนแทคเลนส์ด้วยปลายนิ้วด้วย แม้ว่าในปัจจุบันจะมีน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ (น้ำยาล้างคราบโปรตีน)หลายชนิดระบุว่าไม่จำเป็นต้องถูก็ตาม เพราะจากการวิจัยพบว่าการถูคอนแทคเลนส์จะช่วยลดการเกาะตัวของคราบโปรตีนและไขมันได้มากถึง 90-95% จึงช่วยให้คอนแทคเลนส์มีความใสและสบายตามากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดโอกาสที่จะติดเชื้อภายในดวงตาได้อีกด้วย

8. ถ้ารู้สึกผิดปรกติกับดวงตา ให้หยุดการใส่คอนแทคเลนส์โดยทันที เพราะถ้าดวงตาอักเสบหรือเกิดการติดเชื้อขึ้นภายในดวงตาการใส่คอนแทคเลนส์จะทำให้อาการผิดปรกติมากขึ้น และอาจเกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ได้ แต่ถ้าหลังหยุดพักการใส่คอนแทคเลนส์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์โดยทันที

29 พ.ค. 2553

ภาวะการแพ้ Contact Lens (GPC)

ภาวะ การแพ้ Contact Lens มีชื่อทางการแพทย์ว่าโรค GPC ย่อมาจาก Giant Papillary Conjunctivitis ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับดวงตา พบในผู้ที่ใส่ Contact Lens ชนิดถาวร หรือเลนส์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 30 วัน (Permanent lenses) โดยอาการแพ้ดังกล่าวเกิดจากคอนแทคเลนส์สกปรก มีคราบโปรตีนที่ล้างไม่หมดเกาะอยู่ คราบโปรตีนเหล่านั้นเป็นส่วนประกอบของน้ำตาธรรมชาติ ที่เมื่อสะสมรวมกับสารภายนอก เช่น ฝุ่นละออง เครื่องสำอาง จะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาขึ้นได้

ผู้ที่เป็นโรค GPC จะมีอาการคันตา ระคายเคือง มีขี้ตาเป็นเมือกขาว ตาแดงเรื่อๆ และไม่สบายตาเท่ากับช่วงที่ใส่คอนแทคเลนส์ใหม่ๆ นอกจากนี้บางครั้งคอนแทคเลนส์อาจเลื่อนหลุดได้ง่ายอีกด้วย เมื่อจักษุแพทย์ทำการตรวจดวงตาของผู้ที่เป็น GPC ด้วยกล้องขยายพิเศษสำหรับตรวจตา (Slit lamp) จะพบมีเม็ดเล็กๆ (Papilla) ที่เยื่อบุตาบริเวณด้านในของเปลือกตา ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อเกิดภูมิแพ้ที่ดวงตา
อาการแพ้ในโรค GPC อาจรักษาให้หายได้โดยการพบจักษุแพทย์ แพทย์จะแนะนำให้หยุดใส่คอนแทคเลนส์ไว้ชั่วคราวก่อน และให้ยาแก้แพ้มาหยอดตา แต่เมื่อกลับมาใส่คอนแทคเลนส์อีกก็อาจกลับเป็นขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ ถ้าคุณยังปฏิบัติตัวเหมือนเดิม ดังนั้นคุณจึงควรแก้ไขที่สาเหตุ คือ กำจัดความสกปรกของ Contact Lens อย่างสม่ำเสมอให้ถูกต้อง โดยการชะล้างคราบโปรตีน ไขมัน และฝุ่นละอองต่างๆ ที่เกาะอยู่ออกให้หมด หรือเปลี่ยนไปใช้คอนแทคเลนส์ชนิดเปลี่ยนทุก 2-4 สัปดาห์ (Disposable lenses)

สารทำความสะอาดที่มีอยู่ในน้ำยา อเนกประสงค์ทุกชนิดที่มีขายในท้องตลาด สามารถทำความสะอาดคราบไขมัน เยื่อเมือก และโปรตีนได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ในการขจัดคราบโปรตีนสะสมจำเป็นต้องใช้เอ็นไซม์โปรตีเนส (Proteinase) ในการย่อยสลายโปรตีน จึงจะสามารถขจัดคราบโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ โดยตัวเอนไซม์เองจะเป็นชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อเยื่อบุตา

ในน้ำยาทำความสะอาด Contact Lens แบบ อเนกประสงค์ทุกชนิดที่มีขายในท้องตลาดนั้น ไม่มีส่วนประกอบของเอ็นไซม์โปรตีเนส เพื่อใช้ในการย่อยสลายคราบโปรตีนสะสมดังกล่าว เนื่องจากเอ็นไซม์นี้จะไม่คงตัวในสารละลายที่มีปริมาตรมากๆ สารประกอบส่วนหลักๆ ในน้ำยาอเนกประสงค์ คือ

- สารฆ่าเชื้อโรค ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี บางชนิดสามารถฆ่าเชื้อรา และเชื้ออะแคนทามีบา (Acanthamoeba) ได้ด้วย
- สารทำความสะอาด ส่วนที่มีคุณสมบัติเป็นสบู่ ใช้ขจัดคราบไขมัน เยื่อเมือกได้ และอีกส่วนที่เป็นสารขจัดคราบโปรตีน ออกฤทธิ์ด้วยกลไกที่แตกต่างกันไปในแต่ละชนิด แต่ไม่ใช่เอนไซม์โปรตีเนส

การใช้น้ำยาอเนกประสงค์เพียงขวด เดียว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ Contact Lens แบบชั่วคราวไม่เกิน 30 วัน ถ้าใช้เลนส์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 30 วัน หรือเลนส์ถาวร การสะสมของสิ่งสกปรกบนผิว Contact Lens จะมากเกินกว่าที่จะสามารถขจัดออกได้ ด้วย สารขจัดคราบโปรตีนที่มีอยู่ในน้ำยาอเนกประสงค์ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องใช้เอ็นไซม์ร่วมด้วย ซึ่งอาจจะเป็นยาเม็ดเอ็นไซม์ละลายในน้ำยาล้างเลนส์ หรือเป็นเอ็นไซม์แบบน้ำยาสำเร็จรูปก็ได้ เพื่อให้ Contact Lens ของคุณสะอาด จะได้ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ Contact Lens


ข้อมูลจาก : http://www.freeforworld.com/index.php/33

[ข่าว] ภัยจากคอนแทคเลนส์ตาโต

ศ.พ.ญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
ระยะนี้มีข่าวจากสื่อต่างๆ ทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ฮือฮา ถึงการใส่ contact lens ทำให้ตาโตขึ้น คงเป็นที่สนใจของสาวๆ ตาตี่ๆ กันทั่วไป ก่อนจะไปใช้น่าจะมาเรียนรู้ถึงข้อควรปฏิบัติและโทษของมันดูบ้าง อย่ามุ่งมั่นเพื่อความสวยงาม โดยลืมนึกถึงความปลอดภัย

เลนส์สัมผัสหรือที่เรียกกันติดปากว่า Contact lens เป็นแผ่นพลาสติคใสๆ บางๆ ได้รับการหล่อหรือขัดเกลาให้เป็นแผ่นกลมรูปกะทะ โดยมีความโค้งใกล้เคียงกับความโค้งของตาดำของเรา ตัวเลนส์มีกำลังหักเหของแสงคล้ายๆ เลนส์ที่ใช้ในแว่นตาขนาดต่างๆ เพื่อแก้ไขสายตาที่ผิดปกติ ได้แก่ ตาสั้น ตายาว และตาเอียง เมื่อนำเลนส์สัมผัสมาใช้ โดยปะวางที่ตาดำอาศัยน้ำตาที่ฉาบบางๆ อยู่ผิวตาดำเป็นตัวยึดให้เลนส์ติดกับตาดำ โดยที่เลนส์ขยับเคลื่อนที่ได้เล็กน้อยเมื่อเรากลอกตาไปมา


ปัจจุบันการใช้เลนส์สัมผัสมีจุดประสงค์ 3 ประการ
  1. เพื่อแก้ไขสายตาที่ผิดปกติ ทดแทนแว่นสายตา กล่าวคือสามารถแก้ไข สายตาสั้น ตายาว ตาเอียง ตลอดจนสายตาผู้สูงอายุ โดยไม่ต้องใช้แว่นตา เป็นจุดประสงค์หลักที่ใช้กันมากที่สุด
  2. ใช้รักษาโรคกระจกตาบางชนิด เป็นการใช้ชั่วคราวเมื่อโรคกระจกตานั้นหายก็เลิกใช้
  3. ใช้เพื่อความสวยงาม เพื่อเปลี่ยนสีดวงตา หรือเพื่อปิดฝ้าขาวบริเวณตาดำ ในปัจจุบันนำมาใช้ให้ดวงตาดูโตขึ้นที่ฮือฮาเป็นข่าวอยู่นี้
Contact lens ที่ออกมาแต่เดิมเป็นเลนส์ใสไร้สี เพื่อจุดประสงค์ 2 ข้อแรก สำหรับ contact lens สี เพิ่งมีใช้
ในระยะสิบกว่าปีมานี้ เพื่อจุดประสงค์ในข้อ 3 และมีบ้างที่ contact lens สี ช่วยทั้งเปลี่ยนสีตาและแก้ไขสายตาที่ผิดปกติด้วย อาจแบ่ง contact lens สีออกเป็น 4 ชนิด
  1. Visibility colored contact lens เป็นสีอ่อนๆ ออกสีฟ้าหรือเขียวอ่อน เป็นอันแรกๆ ของเลนส์สัมผัสสี จุดประสงค์ให้ผู้ใช้มองเห็นได้ง่ายแต่เดิมผู้ใช้เลนส์สัมผัสไร้สีเมื่อถอดออกจากดวงตาแทบจะมองไม่เห็น อาจจะตกหล่นหรือหาย หรือแม้เมื่อถอดออกจากตาใส่ในตลับอาจวางเลนส์ที่ขอบตลับเมื่อปิดตลับ ทำให้เลนส์ฉีกขาดได้ ถ้าทำเป็นสีจางๆ จะช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นเลนส์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเลนส์สีชนิดนี้สีจางมากจึงไม่เปลี่ยนสีตาของผู้ใช้
  2. Enhance colored contact lens เป็นเม็ดสีที่ย้อมเข้าไปในเนื้อ contact lens ที่เข้มกว่าและเม็ดสี หนาแน่นกว่า จุดประสงค์เพื่อเปลี่ยนสีตาของผู้ใช้ โดยเม็ดสีจะอยู่ในเนื้อ contact lens รอบๆ เว้นตรงกลางให้แสงเข้าเพื่อให้มองเห็นได้ดี
  3. Opaque colored contact lens เป็นเม็ดสีที่เข้มขึ้นไปอีกอยู่ในเนื้อเลนส์ที่ลึกลงไป มีสีต่างๆ หลายสี ใช้ในการเปลี่ยนสีตา ถือเป็นเครื่องประดับบริเวณตา มักใช้ในนักแสดงที่แต่งตัวสีฉูดฉาดและต้องการให้ดวงตามีสีแปลกๆ ด้วย นอกจากนี้อาจย้อมเม็ดสีให้กินบริเวณรอบนอกของเลนส์ ทำให้เมื่อใช้เลนส์นี้ดูตาดำใหญ่ขึ้นอันเป็นที่มาของเลนส์ช่วยให้ตาโต
  4. Light – filtering contact lens เป็นพัฒนาการของ contact lens สีชนิดล่าสุดมักใช้ในกีฬา เป็นการ ทำเลนส์เป็นสีเพื่อกรองแสงบางสีออกไป เพิ่มความชัดของวัสดุที่จะมอง เช่น เพื่อให้สีของลูกเทนนิสหรือลูกกอล์ฟเด่นชัดขึ้น ตัวอย่างนักกอล์ฟใช้สีอำพันเพื่อตัดสีครามของท้องฟ้าไกลๆ ทำให้เห็นลูกกอล์ฟชัดขึ้น

ถ้าท่านตัดสินใจที่จะลองใช้ CL สี ควรปรึกษาจักษุแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดูก่อนว่าดวงตาของท่า เหมาะสมหรือสมควรใช้หรือไม่ CL มิได้เหมาะสำหรับดวงตาทุกคู่ ผู้ที่ไม่เหมาะที่จะใช้ได้แก่
  1. ผู้ที่มีโรคผิวหนังบริเวณเปลือกตาแบบเรื้อรัง การที่เปลือกตาอักเสบทำให้ไม่สบายตา อีกทั้งมักมีสารที่ขับจากต่อมบริเวณเปลือกตาเปลี่ยนไป
  2. ผู้ที่ตาแห้ง
  3. มีกระจกตาผิดปกติ
  4. เป็นภูมิแพ้ เพราะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อาจจะเกิดการแพ้ต่อสารที่ทำเลนส์หรือแพ้น้ำยาที่ใช้กับเลนส์
  5. มีโรคเรื้อรังทางร่างกาย เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี โรคของต่อมไทรอยด์ที่มีตาโปน เพราะผู้ป่วย ในกลุ่มนี้มักจะมีตาแห้งไม่ค่อยกระพริบตา
  6. ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต มีความกังวล ขี้ระแวง
  7. ผู้ป่วยที่มีโรคข้อมือ มีมือสั่นจากโรคทางสมอง เช่น โรค Parkinson ทำให้จับต้องเลนส์สัมผัสไม่ได้ดี
  8. หญิงตั้งครรภ์และสตรีวัยทอง
  9. ผู้ที่ใช้ยาประจำบางตัว เช่น ยารักษาโรคกระเพาะ ผู้รับประทานยาคุมกำเนิด ผู้ใช้ยากลุ่มคลายเครียดประจำ ฯลฯ

สำหรับ CL สีก็คงคล้าย CL ทั่วไปแต่เพิ่มเม็ดสี เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวคงตอบสนองความต้องการในแง่ความสวยงาม แต่มีข้อเสียมากกว่า CL ธรรมดาหลายประการอาทิ เช่น

  1. ราคาแพงกว่า
  2. ด้วยเหตุที่มีเม็ดสีเข้าไปอยู่ในเนื้อ CL บริเวณที่เป็นสี ออกซิเจนจะไม่ซึมผ่านเข้าไปเลี้ยงกระจกตา อีกทั้งเม็ดสีเป็นสิ่งแปลกปลอม อาจทำให้เกิดโทษจากการแพ้เม็ดสีในคนบางคนได้
  3. ด้วยเหตุที่มีเม็ดสีปนอยู่ในเนื้อเลนส์ ผิวอาจไม่เรียบเป็นเนื้อเดียวกัน เชื่อว่าอาจมีเมือก โปรตีนที่มีอยู่ ในน้ำตาเข้าไปฝังตัวทำให้เลนส์เสียเร็วขึ้น และเลนส์สีจะมีความหนากว่าเลนส์ปกติ ทำให้ออกซิเจนซึมผ่านจากอากาศ น้ำตาไปเลี้ยงกระจกตาน้อยลง
  4. โดยเฉพาะรายที่เป็นสีเข้มๆ เพราะต้องการเปลี่ยนสีตาทำให้การดูแลรักษายากกว่าเลนส์ทั่วไป กล่าว คือหากมีสิ่งสกปรก ปนเปื้อน เช่น มีกลุ่มเมือกปนเชื้อโรคติดอยู่ ซึ่งจะเห็นได้ง่ายในเลนส์ธรรมดา ทำให้ผู้ใช้สามารถเช็ดถูออก หรือถ้าไม่ออกก็เลิกใช้คู่นั้นเพื่อความปลอดภัย หากเป็น CL สี มองไม่เห็นใช้ต่อไปทำให้เกิดตาอักเสบในเวลาต่อมาได้
  5. ในกระบวนการทำ CL สี ต้องเว้นบริเวณตรงกลางที่ตรงกับรูม่านตา เพื่อให้ผู้ใช้แลเห็นวัตถุ การเว้นขนาดตรงกลางอาจจะใหญ่ไปหรือเล็กไป สำหรับบางคนเนื่องจากเวลากระพริบตาหรือกลอกตาไปมามีการขยับของ CL อาจทำให้บริเวณที่เป็นสีมาบังตาทำให้มัวลงได้ เนื่องจากการเว้นขนาดบริเวณตรงกลางทำเป็นขนาดแน่นอนทั้งหมด แต่ขนาดรูม่านตาและการขยับของ CL เวลากระพริบตาไม่เท่ากันทุกคน

เมื่อตัดสินใจจะใช้เลนส์สัมผัสคู่แรกควรได้รับการตรวจตาเสียก่อนว่าไม่มีข้อห้ามในการใช้และประกอบ
จากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มิใช่ไปซื้อเอาตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ และเมื่อได้เลนส์มาแล้วควรปฏิบัติตนดังนี้
  1. ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ชนิดใด ล้วนต้องนำมาแปะไว้หน้าตาดำ ถือเป็นสิ่งแปลกปลอมที่อาจก่อให้เกิด ปฏิกิริยาหรือการอักเสบได้ ความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเลนส์สกปรกมีเชื้อโรคก็เท่ากับนำเชื้อโรคไปใส่ในตา ซึ่งในบางครั้งอาจไม่เกิดโทษร้ายแรง แต่สักวันหนึ่งถ้ากระจกตามีรอยถลอก เชื้อโรคก็จะเข้าไปในเนื้อกระจกตาทำให้กระจกตาอักเสบและเกิดโรคร้ายแรงตามมา
  2. ใช้เลนส์ให้ทุกประเภท เลนส์ที่มีอายุ 2 สัปดาห์ก็ควรใช้แค่ 2 สัปดาห์ไม่ควรใช้เกินกว่านั้น แม้เลนส์ที่ระบุว่าใส่นอนได้ก็ไม่ควรใส่นอน
  3. แม้เลนส์รุ่นใหม่ๆ จะออกแบบให้ออกซิเจนซึมผ่านได้ดีตามที่มีโฆษณากันอยู่ ตาที่ใส่เลนส์สัมผัสอยู่ จะได้รับออกซิเจนน้อยลงเสมอ ถ้าใส่เลนส์ไม่นานเกินไปก็จะเป็นการขาดออกซิเจนของตาดำที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายมากนัก จึงควรมีเวลาให้ตาได้พักหรือปลอดการใส่เลนส์ ขอแนะนำว่าแม้ท่านจะเลือกแก้ไขสายตาผิดปกติด้วยเลนส์สัมผัส ท่านก็ควรจะมีแว่นเป็นอะไหล่ไว้ใช้เวลาพักตาจากเลนส์สัมผัส
  4. ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ประกอบเลนส์อย่างเคร่งครัด
  5. การทำความสะอาดเลนส์ ต้องทำอย่างเคร่งครัดประกอบด้วยการทำความสะอาด ล้างฆ่าเชื้อและ การเก็บ (cleaning, rinsing, disinfecting and storage) หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเกลือซึ่งเทถ่ายจากขวดใหญ่ โดยคิดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากกระบวนการถ่ายเทน้ำเกลือ อาจทำให้เชื้อโรคปนเปื้อนได้ น้ำยาที่แช่เลนส์ต้องเททิ้งทุกครั้ง
  6. หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บตา ตาแดง ตาพร่ามัว ควรจะถอดเลนส์ออกและปรึกษาจักษุแพทย์
  7. พึงระลึกว่าการใช้เลนส์สัมผัสใช่ว่าจะปลอดภัย 100 % ขณะใส่เลนส์สัมผัสตาดำจะอยู่ในภาวะขาด ออกซิเจนบ้าง อาจมีโรคแทรกซ้อนหากใช้ไปนานๆ ผู้ใช้จึงควรรับการตรวจจากจักษุแพทย์เป็นระยะแม้ไม่มีอาการผิดปกติ
  8. ขอเตือนว่ามีผู้ใช้เลนส์สัมผัสไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดผลเสียหลายอย่าง เช่น เจ็บตา ตาแดง กระจก ตาเป็นแผล ซึ่งนอกจากทรมานจากการเจ็บปวด เสียเงิน เสียเวลาในการรักษา บางรายเป็นรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาเล็กน้อยไปจนถึงมากอย่างถาวร

Loading

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More